เมื่อฉันทิ้งเงินเดือนหลักแสน ไปฝึก “มวยไทเก็ก” ที่จีน สวัสดี ฉันชื่อ แคล์ร บทความนี้ของฉันเกี่ยวกับการตัดสินใจทิ้งตำแหน่งงานและเงินเดือนหลักแสน เพื่อเดินทางไปฝึก "มวยไทเก็ก" ที่ประเทศจีน บทความนี้อาจจะเป็นแรงบันดาลใจแก่ใครก็ตาม ให้ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีสุขภาพกาย-ใจที่แข็งแรง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่ามูลค่าทางวัตถุที่ทุก ๆ คนกำลังแสวงหามาด้วยเงินทองเสียอีกภาพโดยเจ้าของบทความ : โรงเรียนฝึกมวยในหุบเขา และโรงฝึกมวย ชีวิตคืออะไร? ... นานมาแล้วฉันก็เป็นเหมือนคนอื่น ๆ ทั่ว ๆ บนโลกใบนี้ เกิดมาแล้วก็ต้อง เรียน ทำงาน สะสมเงินทอง และเสพติดกับการบริโภคตามวิถีวัตถุนิยม โดยมีเป้าหมายหลักก็คือ ความก้าวหน้าขั้นสูงสุดในหน้าที่การงาน และการทำรายรับให้มากที่สุดเท่าที่โอกาสจะอำนวย ซึ่งในขณะเดียวกันมันก็ก่อให้เกิดรายจ่ายที่สูงสุดตามมาด้วย เพราะเหตุว่า สมาร์ทโฟนของฉันจะต้องเป็นรุ่นที่ใหม่ล่าสุด โน้ตบุ้คของฉันก็ต้องมีสเปคที่สูงที่สุด บ้านที่เช่าอยู่ของฉันก็หลังใหญ่มาก 2 ชั้น 3 ห้องนอน ทั้ง ๆ ที่อยู่แค่คนเดียว เป็นต้น งานคือเงิน เงินคืองาน ใช่แล้ว ! เวลานั้นตำแหน่งในหน้าที่การงานของฉันจัดว่าอยู่ในกลุ่มผู้บริหารระดับสูงสุดขององค์กร อีกทั้ง เงินเดือนบวกรายรับอื่น ๆ รวมกันแล้วคิดเป็นหลักแสนกว่าบาท ! แต่ แต่ แต่ ประเด็นคือ ... เพื่อแลกกับความสุขสบายและสังคมอันหรูหราทันสมัย และเป็นผู้นำในแนวโน้มของโลกยุคใหม่ ดังนั้นรายรับสุดท้ายมันจะเหลือเป็นเงินเก็บสะสมอยู่เพียงไม่ถึงครึ่งหนึ่งในแต่ละเดือน และมิหนำซ้ำวิถีชีวิตอันหรูหราทันสมัยนี้ ยังมีผลกระทบที่คาดไม่ถึงตามมาอีกด้วย แต่ของแถมอะไร ที่ได้มากกว่า? ... ผลการตรวจสุขภาพของฉันย่ำแย่มาก ในช่วงเวลา 10 กว่าปีของการทำงาน โดยเฉพาะ 5-6 ปีหลังที่โหมงานหนักในตำแหน่งผู้บริหาร น้ำหนักก็สูงขึ้นตามไปด้วย จาก 48 กิโลกรัม ไต่ไปถึง 98 กิโลกรัม อย่างรวดเร็ว มิหนำซ้ำ ยังมีภาวะความดันโลหิตสูง และหัวใจโต นอกจากนี้ยังมีอาการออฟฟิสซินโดรม ไหล่ติด หลังแข็ง เจ็บต้นคอ ไมเกรน ... ยัง ... ยังไม่หมด! อาการแพ้อาหารอย่างรุนแรงแทบทุกชนิดที่ปกติไม่เคยแพ้ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนถึงการเริ่มต้นความผิดปกติของ ตับ และไต ! ... ทั้งหมดนี้คือผลจากความเครียดในการทำงาน การนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์นานเกินไป การดื่มกาแฟและของหวานมากเกินไป เพราะงานบริหารมันคือ การประชุม ประชุม และประชุม ... การออกกำลังกายล่ะ? … ไม่เลย!! ... จากนักกีฬามหาวิทยาลัยที่เคยกวาดเหรียญทองในหลายโปรแกรมการแข่งขัน ทั้งกีฬาเทควันโด และดาบสากล เมื่อเข้าสู่โลกแห่งหน้าที่การงาน คะแนนของกิจกรรมการออกกำลังกายของฉัน คือ ศูนย์ ค่ะ ความตายกำลังมาเยือน คืนหนึ่งเมื่อหลายปีมาแล้ว "ฉันหยุดหายใจขณะนอนหลับ" โชคดีที่กลไกอัตโนมัติในการรักษาชีวิตภายในร่างกายยังคงทำงาน ซึ่งมันได้ช่วยชีวิตฉันไว้ การสะดุ้งตื่นขึ้นแล้วหัวใจเต้นแรงมากร่วมกับอาการมึนงงเพราะสมองขาดเลือดจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงเมื่อหยุดหายใจขณะหลับ นี่คือการเตือนครั้งแรก คนส่วนใหญ่ มักจะไม่ค่อยสังเกตอาการเตือนภัยของกลไกภายในร่างกาย ฉันก็เป็นเช่นนั้น ไม่ได้สนใจอาการผิดปกติแต่อย่างใด เข้าใจว่าเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ยิ่งถ้าเป็นคนอื่นก็อาจจะโทษไปถึงว่าผีสางมาอำเล่นไปอีก ใครจะไปฉุกคิดว่า อาการเหมือนผีอำ และการไหลตาย อาจจะมีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการทำงานหนักและการขาดการออกกำลังกายนี่เองภาพโดยเข้าของบทความ : บุกสำนักเส้าหลิน สูงสุดคืนสามัญ มนุษย์ทุกคนล้วนรักชีวิต แม้ว่าร่างกายออกอาการเตือนแรก ๆ เราจะไม่ทันสังเกตหรือฉุกใจคิด แต่พอมันปรากฏถี่ขึ้น 2-3 ครั้งในหนึ่งเดือนถัดไป สุดท้ายมันเกิดขึ้นติด ๆ กัน 2 คืน ... ฉันตัดสินใจทันที "ลาออกจากงาน" !! นั่นคือ กลับหัวกลับหาง กลับทางเดินชีวิต จากการเป็น "ท่าน" ที่เป็นผู้บริหาร สู่การเป็น "คน" ที่ไม่ใช่ใครเลย การตัดสินใจเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นการทำโดยกระทันหัน แต่มันได้ผ่านการคิดไตร่ตรองและวางแผนก่อนล่วงหน้ามาเป็นอย่างดีแล้วระดับหนึ่ง ทั้งเรื่องของเปอร์เซ็นต์การแบ่งเงินเก็บออกเป็น เงินออม เงินประกันชีวิต และเงินที่ต้องใช้จ่ายในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยวางเป้าหมายไว้ว่าจะงดการทำงานหลักอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลา 1 ปี หรือมากกว่านั้น และลดการทำงานฟรีแลนท์ การทำเว็บไซต์ งานเขียนบทความ และงานออกแบบกราฟฟิค ส่งขายทางออนไลน์ ให้เหลือเพียง 10%ภาพโดยเจ้าของบทความ : กับเพื่อนชาวตะวันตกที่สำนักมวย ทำไมต้องเป็น "มวยไทเก๊ก" ? ... การตัดสินใจของคนเรานั้น มีปัจจัยอยู่หลายอย่าง แต่ปัจจัยสำคัญที่ผู้คนทั่วไปใช้มากที่สุดก็คือ การใช้ประสบการณ์ ข้อสนเทศและทางเลือกเหตุผลของฉันสำหรับการเลือก "มวยไทเก๊ก" ก็เพราะว่า ประการแรก มันเป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากที่สุด จังหวัดบ้านเกิดของฉัน ลูกหลานจีนและคนจีนทั่วไปล้วนฝึกมวยนี้ และฉันก็เคยฝึกมาตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ ก่อนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยและทำงาน ประการที่สอง มวยไทเก๊ก นั้นเป็นศิลปการต่อสู้ของจีนที่มีประวัติความเป็นมาอันยาวนานนับพันปี และมีรายงานผลการวิจัยทั้งการแพทย์ตะวันตกและตะวันออกว่ามีผลดีต่อสุขภาพในหลาย ๆ ด้านอย่างแท้จริง ประการสุดท้าย การฝึกมวยไทเก๊กอย่างถูกวิธีนั้น ปรากฏผลที่เห็นได้ชัดในเชิงประจักษ์ เพราะหลักการของมวยไทเก๊ก เน้นความเคลื่อนไหวที่ผ่อนคลาย อิริยาบทที่แช่มช้า สง่างาม และการรักษาสมดุลย์ทั้งกาย-ใจ ดังนั้นจึงเป็นวิธีการออกกำลังกายที่เหมาะกับทุกเพศ วัย และทุกช่วงอายุ ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น ควรทำให้หายสงสัยได้ว่า เหตุใดศาสตร์แห่งการรักษาและการฟื้นฟูสุขภาพของจีนตั้งแต่สมัยโบราณจึงกลายเป็นศิลปวัฒนธรรมประจำชาติที่ทั้งชาวจีนและชาติตะวันตกนิยมเล่นกันอย่างต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้ อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นแพทย์จีนหรือแพทย์ฝ่ายตะวันตกต่างล้วนแนะนำให้คนไข้ใช้มวยไทเก๊กเป็นวิธีหนึ่งในการออกกำลังกายอีกด้วย ทั้งหมดนี้นำไปสู่ผลการตัดสินใจของฉันในการเลือก "มวยไทเก๊ก"ภาพโดยเจ้าของบทความ : กับเพื่อน ๆ ชาวจีน และชาวเนเธอแลนด์ ถึงเวลาบินไป "จีน" แล้ว ในประเทศไทยมีการฝึกมวยไทเก๊กกันตามสวนสาธารณะหลายแห่ง แต่ทำไมฉันต้องบินไปถึงประเทศจีน คำตอบง่ายมาก หลัก ๆ เลยก็คือ จะไปเที่ยวให้ทั่วประเทศจีนนั้นเอง ใคร ๆ ก็ทราบว่าประเทศจีนอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวงดงามตระการตา ทั้งทิวทัศน์ธรรมชาติอลังการน่าตื่นตะลึง รวมทั้งเต็มไปด้วยแหล่งเรียนรู้ทางประวัติศาสตร์ และศิลปวัฒนธรรมอันเก่าแก่เกินกว่า 4,000 ปี ที่สำคัญประเทศจีนเป็นแหล่งกำเนิดของมวยไทเก๊ก ซึ้งหมู่บ้านที่ฉันไปฝึกมวยนั้น ก็คือ หมู่บ้านตระกูลเฉิน หรือ เฉินเจียโกว (陈家沟) ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของมวยไทเก๊กตระกูลเฉิน (陈氏太极拳) ที่มีชื่อเสียงเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ได้อะไรจากการตัดสินใจครั้งนี้? ... ประโยชน์อันยิ่งใหญ่ที่ฉันได้รับจากการตัดสินใจครั้งนี้ มากเกินกว่าจุดมุ่งหมายดั้งเดิมที่คิดไว้เพียงว่าจะรักษาฟื้นฟูสุขภาพเท่านั้น นั่นก็คือ "การได้เรียนรู้ชีวิต" และ "วิธีการมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความสุข" ซึ่งฉันสรุปสั้น ๆ เป็นข้อ ๆ คือ 1. ฉันโชคดีมากที่ตัดสินใจทิ้งทั้งตำแหน่งและเงินเดือน ทำตัวให้ธรรมดาที่สุด ฉันบินไปอยู่ในหมู่บ้านชนบทที่ในเวลานั้น (สิบกว่าปีก่อน) ไม่มีทั้งทีวี ไม่มีทั้งสัญญานอินเทอร์เน็ต และที่วิเศษที่สุดคือ ไม่มีใครรู้จักฉันเลย นี่ทำให้ฉันพบว่า "ฉันไม่จำเป็นต้องเป็นใครเลยในโลกนี้ นอกจากเป็นตัวฉันเอง" และ "ไม่จำเป็นต้องให้ใครในโลกนี้มารู้จักฉันเลย เพราะฉันรู้จักตัวเองดีพอ" 2. “สิ่งที่มีค่าที่สุดของชีวิต คือ สุขภาพกาย-ใจ ที่แข็งแรงสมบูรณ์อันเกิดจากการดูแลใส่ใจไปตามธรรมชาติ” นี่เป็นสิ่งที่ไม่สามารถใช้เงินทองซื้อหามาได้ แน่นอนว่า หลังจากที่ฉันต้องใช้วินัยอย่างสูงในการฝึกฝนและดำรงชีวิตในต่างแดนเพียงลำพัง ตื่นตั้งแต่เช้ามืดออกวิ่ง กลับมายืดหยุ่นร่างกาย รับประทานมื้อเช้า และฝึกฝนมวยในภาคเช้า หลังจากรับประทานมื้อกลางวัน ก็ฝึกฝนต่อในภาคบ่าย ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติ ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น ก่อนที่จะรับประทานมื้อเย็นและเข้านอนหลับสนิทตั้งแต่หัวค่ำ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันสุดท้าย จากเหนื่อยที่สุดจนกลับกลายเป็นความเคยชินในชีวิตประจำวัน ผลที่เกิดขึ้นชัดเจนมาก คือ น้ำหนักที่ลดลงจาก 98 กิโลกรัม สู่ 52 กิโลกรัมในช่วง 3 เดือนแรก และไม่ขึ้นมาอีกเลยในช่วงสิบกว่าปีมานี้ ที่สำคัญที่สุด คือ อาการของโรคทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นออฟฟิสซินโดรม ไมเกรน และอาการแพ้อาหารต่าง ๆ หายไปโดยสิ้นเชิง ความดันโลหิตปกติ ไม่มีเบาหวาน และผลเอ็กซเรย์หัวใจไม่พบหัวใจโต ซึ่งเดิมแพทย์เคยวินิจฉัยไว้อีกด้วย 3. “การออกกำลังกายที่ถูกต้อง ย่อมมีประโยชน์ต่อสุขภาพทั้งกาย-ใจอย่างแน่นอน” การออกกำลังกายที่ดี ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมสร้าง ฟื้นฟูร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังช่วยรักษาความเยาว์วัยทั้งภายในและภายนอก ซึ่งเป็นที่มาของการมีอายุที่ยืนยาวปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ สุดท้ายอยากจะกล่าวว่า แม้กรณีของฉันอาจแตกต่างไปจากคนอื่นๆ ในเรื่องของการเลือกวิธีการออกกำลังกาย แต่การออกกำลังกายทุกชนิดล้วนมีประโยชน์ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะถนัดในด้านใด วิ่ง ว่ายน้ำ ชกมวย โยคะ เข้าฟิตเนส หรือแม้แต่เพียงแค่การเดิน หรือการแกว่งแขน หากว่ามีจุดมุ่งหมายในการดูแลฟื้นฟูสุขภาพ และมีวินัยในการทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ทำอย่างถูกต้องและพอประมาณ มั่นใจได้เลยว่าต้องเป็นผลดีทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างแน่นอน พร้อมที่จะรักชีวิตกันหรือยัง? ... เรามาออกกำลังกายกันค่ะ ภาพโดยเจ้าของบทความ : ฉันและเพื่อน ๆ ที่ประเทศไทย, สวนลุมพินีฯ