หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องราว 'ชาวอิตาเลียนกับพิซซาหน้าฮาวายเอี้ยน' ซึ่งเรียกว่าเป็นคู่ปรับกันตลอดกาลก็ว่าได้ ตอนแรกเราเองก็ไม่ได้คิดว่าพิซซาหน้าสับปะรดจะไปสร้างความโกรธแค้นขุ่นเคืองให้ชาวอิตาเลียนได้มากขนาดนั้น แต่เมื่อลองค้นหาคลิปวิดีโอว่า Italian's Reaction to Hawaiian Pizza ที่เผยแพร่อยู่บนแพลตฟอร์มอย่าง Youtube จึงทำให้เรารู้ว่าเรื่องนี้มันก็เป็นมหากาพย์ทางวัฒนธรรมอาหารอยู่เหมือนกัน ผู้เขียนจะพาทุกคนไปค้นหาว่า ทำไมชาวอิตาเลียนจึงรู้สึกว่าพิซซาหน้าฮาวายเอี้ยนที่ใส่สับปะรดจึงเป็นไม้เบื่อไม้เมากับพวกเขา สืบสาวไปถึงต้นเรื่องว่ามันเกิดเหตุมาจากไหนกันแน่ ไปหาคำตอบพร้อมกันในเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ความจริงมันไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่กระฉ่อนโลกขนาดนี้ แต่เคยมีบันทึกของชาวซิซิลี (Sicily) เมืองดั้งเดิมที่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของอิตาลีกล่าวไว้ว่า พิซซาคือจิตวิญญาณของชาวซิซิลีและชาวอิตาเลียน การใส่ของหวานประเภทผลไม้อย่างสับปะรดลงบนหน้าพิซซา มีโทษสูงสุดคือถูกปาหินแล้วจับขังเท่านั้น พอจะเห็นภาพกันหรือยังว่าเรื่องนี้มันไม่ใช่เรื่องไก่กาแบบที่เราคิด แม้แต่ กอร์ดอน แรมซีย์ (Gordon Ramsay) เชฟชื่อดังที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีในรายการแข่งขันทำอาหาร มาสเตอร์เชฟ (MasterChef) ยังเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า 'You Don't Put F***ing Pineapple On A Pizza' แถมยังทวีตลงบนทวิตเตอร์ซ้ำอีกว่า 'Pineapple Does Not Go On Top Of Pizza' ก็พอจะแปลได้ว่าการใส่สับปะรดลงบนพิซซานั้นเป็นเรื่องที่ 'อย่าหาทำ' เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะไปด้วยกันได้เลยมาถึงตรงนี้หลายคนคงอยากรู้กันแล้วว่า พิซซาฮาวายเอี้ยนมันมาได้อย่างไร ใครเป็นคนต้นคิดใส่สับปะรดลงบนหน้าพิซซา จนทำให้ต้นตำรับอย่างชาวอิตาเลียนรู้สึกถูกย่ำยีศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้ เชื่อว่าหลายคนคงเดาจากชื่อหน้าพิซซาว่า ชาวฮาวาย เป็นคนต้นคิด ถึงแม้ชาวอิตาเลียนจะก่นด่าชาวอเมริกันว่าเป็นหัวโจกดัดแปลงพิซซาของพวกเขา แต่ความจริงแล้วชาวอิตาเลียนเองก็กำลังด่าผิดคนอยู่เหมือนกันนั่นแหละ เพราะต้นคิดฮาวายเอี้ยนพิซซามาจากเชฟชาวกรีก ที่เปิดร้านอาหารอยู่ที่ประเทศแคนาดาต่างหากปลายศตวรรษที่ 20 เชฟชาวกรีกชื่อว่า แซม ปาโนปูลอส (Sam Panopoulos) ได้เดินทางไปยังประเทศแคนาดาดินแดนแห่งเสรีภาพทางเชื้อชาติ หอบเงินไปก้อนหนึ่งแล้วเปิดร้านอาหารชื่อว่า Sattelite Restaurant ด้วยความที่ตาลุงแซมแกมีหัวการตลาดที่ก้าวหน้าไปมาก แกก็เลยรู้สึกว่าไอ้อาหารที่แกขายอยู่ในร้านมันธรรมดาเกินไป ความจริงตาลุงแซมแกก็ขายทั้ง แฮมเบอร์เกอร์ เฟรนช์ฟราย แซนด์วิช สปาเกตตี และอาหารอิตาเลียนอย่างพิซซาด้วย เพียงแต่ทุกอย่างมันก็เป็นอาหารที่ทั่วทั้งยุโรปและอเมริกามีขายอยู่ทั่วไป รสมือของแกก็ไม่ได้วิเศษวิโสจนทำให้คนยุโรปต่อถ่อมากินถึงแคนาดา ตาลุงแซมจึงคิดอุตริหาวัตถุดิบชนิดอื่น ๆ มาดัดแปลงให้อาหารของแกดูพิเศษกว่าร้านอื่น แน่นอนแกก็เอาสับปะรดกระป๋องเทลงบนหน้าพิซซา แล้วตั้งชื่อว่า 'ฮาวายเอี้ยนพิซซา' เพราะสับปะรดที่แกเทลงไปชื่อยี่ห้อว่า 'Hawaiian' วันนั้นตาลุงแซมแกคิดอย่างง่าย ๆ แต่ใครจะไปรู้ว่าเวลาต่อมา พิซซาหน้าสับปะรดของแกจะกลายเป็นปัญหาระดับโลกอย่างทุกวันนี้แล้วทำไมชาวอิตาเลียนจึงเดือดดาลกับพิซซาหน้าสับปะรดถึงขนาดนั้น เรื่องนี้มันเป็นความละเอียดอ่อนทางอาหาร เกี่ยวข้องกับรากเหง้าทางวัฒนธรรม มีสื่อยักษ์ใหญ่หลายประเทศไปสัมภาษณ์ถึงประเด็นนี้ ชาวอิตาเลียนส่วนใหญ่บอกว่ามันเป็นการทำลายตำรับตำราที่มีมานมนานให้ผิดเพี้ยน ไม่มีใครเอาของหวานอย่างสับปะรดไปใส่ในของคาว ถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ เราก็คงรู้สึกแปลก ๆ ถ้ามีใครเอาเงาะกระป๋องไปใส่ในแกงส้ม หรือเอามะม่วงดองไปใส่ในผัดไทย ชาวอิตาเลียนก็รู้สึกเช่นนั้น พิซซาคืออาหารที่พวกเขาภาคภูมิใจ เป็นตัวแทนที่นำเสนอรากเหง้าของประเทศอิตาลีได้อย่างชัดเจน ดังนั้นการที่ชนชาติอื่นนำอาหารประจำชาติของพวกเขาไปดัดแปลงจนผิดแผกไปจากเดิม จึงเป็นการทำลายเอกลักษณ์และวัฒนธรรมของชาติไปด้วย สิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเรื่องนี้นั่นคือ อาหารกับวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ควบคู่กันอย่างแยกไม่ออก อาหารรักษาเอกลักษณ์ของชาติเอาไว้ฉันใด เราเองก็ต้องอนุรักษ์อาหารดั้งเดิมเพื่อแสดงเอกลักษณ์เอาไว้ฉันนั้นเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Stockking : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 1 โดย MichaelGaida : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 2 โดย Lifeforstock : FREEPIK- ภาพประกอบที่ 3 โดย Pineapplesuppleco : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Bckfwd : UNSPLASH