เมื่อทุกสิ่งไม่จีรัง สักวันมันต้องเปลี่ยน ร่วมหลาย 10ปีที่ผ่านมา มีวัฒนธรรมเก่าใหม่ มากมายที่มีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือ หายไป เช่นว่า การกิน การเล่น ประเพณีต่างๆ ล้วนแล้วแต่ค่อยๆเปลี่ยนแปลง หรือ ลบหายไป แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าวัฒนธรรม การศึกษา ไม่ว่าจะผ่านไปนานเท่าไหร่ แทบจะไม่มีปัจจัยอะไรมาทำให้สิ่งที่เราปฏิบัติกันมา หลายยุคหลายสมัย เปลี่ยนไปได้เลย หลายทศวรรษจนมาถึงตอนนี้ เรามาเจอกับสิ่งที่ทำให้เราต่อเปลี่ยน ยุคที่ผู้คนไม่อาจเข้าใกล้ ยุคที่ถ้ามีไข้ต่อให้ไม่มีไอก็จะถูกรถคันใหญ่เอาเปลมาหามใส่รถไปอยู่ดีเพื่อกักตัว โรงงานบางแห่งต้องหยุดไป โรงเรียนยังต้องเลื่อนเปิดเทอม มันคือ โควิด-19 โควิด เสมือนวิกฤติที่ยังไม่ได้คิดถึงโอกาส เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก สิ่งที่เรายึดถือทำกันมาหลายสิบปี ไม่อาจตอบโจทย์การศึกษาในยุคนี้อีกต่อไป ปิดเทอมกันยาว ด้วยข้อจำกัดการอยู่ใกล้ชิดกัน อาจจะทำให้เกิดการระบายของไวรัสอีกครั้ง เด็กไปโรงเรียนต้องวัดอุณหภูมิร่างกาย ใส่หน้ากากอนามัยเพื่อลดความเสี่ยงของโรคติดต่อ แต่เราจะมั่นใจได้แค่ไหนในเมื่อในโรงเรียนเด็กๆยังต้องใช้อะไรหลายๆอย่างร่วมกัน โต๊ะเรียน หลังสือในห้องสมุด อุปกรณ์กีฬา ราวบันได ประตู หน้าต่าง ห้องน้ำ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่ต้องหยิบจับ สัมผัสร่วมกันทั้งนั้น ใครจะรับประกันได้ว่า เด็กๆจะ ปลอดภัย แน่นอน มันทำให้เราได้กลับมาย้อนคิด ว่าจริงๆแล้วการศึกษารูปแบบเดิม วัฒนธรรมเดิม ยังดีพอ ปลอดภัย และ ตอบโจทย์ สำหรับลูกหลาน ในยุคปัจจุบันเราหรือไม่ เราล้วนรู้กันดีตอนนี้ เวลานี้ ตำราดี ครูมีฝีมือ เราเข้าถึงได้ง่ายมาก ผ่านสิ่งที่เรียกว่า Internet ไม่ต้องพูดถึงเด็กเลยเราเองก็ใช้สิ่งนี้เพื่อเรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง อาหาร ขนม เช็คลม เช็ครถ สามารถดูศึกษาได้ซ้ำๆ ฟังมันจนกว่าจะเข้าใจ ไม่ใช่ลักษณะของชั่วโมงเรียน หมดแล้วผ่านไป เด็กจะเข้าใจไหมดูเหมือนจะไม่ใช่ประเด็นสำคัญ มันถึงเวลาแล้วหรือป่าว ที่เราจะเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง การศึกษา เพื่อให้เข้ากับโลกายุคปัจจุบัน และถึงเราไม่เปลี่ยนมันแต่การเรียนนั้นมันก็ เปลี่ยนแปลง ไปแล้ว