การปรับตัวครั้งใหญ่ของร้านอาหารเพื่อสุขภาพด้วยความอยากรู้อยากเห็นให้ประจักษ์กับสายตาว่า new normal หมายถึงอะไร new normal ของจริงเป็นอย่างไร และ new normal ของร้านอาหารเจจะต้องมีอะไรบ้าง ผมจึงพยายามหาและสืบค้นข้อมูล จนกระทั่งมีการผ่อนปรนคลายล็อคดาวน์ ผมจึงได้มีโอกาสไปกินข้าวนอกบ้าน หลังจากที่ต้องซื้อมากินที่ห้องหรือทำอาหารกินเองในช่วงเก็บตัวสู้โควิดเป็นเวลานาน ก็ได้ฤกษ์งามยามดีไปร้านอาหารที่เคยตั้งใจไว้ว่าอยากไปมานานแล้ว นั่นคือ สันติอโศก แล้วทำไมจะต้องเป็น "สันติอโศก" ด้วยเล่า ? ก็ต้องขอเรียนท่านผู้อ่านตามตรงก่อนว่า ผมกินเจมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ นับเวลามาถึงตอนนี้ก็ 23 ปี แต่ปัจจุบันนี้อายุเท่าไหร่อันนี้ขอเก็บงำเป็นความลับไว้ก่อน เดี๋ยวถ้าท่านติดตามอ่านบทความของผมเรื่อย ๆ เดี๋ยวจะค่อย ๆ บอกใบ้เป็นระยะนะครับเอาล่ะกลับเข้าเรื่องครับผม เมื่อโอกาสมาถึงแล้วจึงรีบขับขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจเพื่อไปหาอาหารเช้ากินกับคนรู้ใจ ถามว่าไปถูกไหม Google map ช่วยได้เยอะครับ มอเตอร์ไซค์หาที่จอดไม่ยากเท่าใดนัก เข้ามาในซอยนวมินทร์ 46 ก็จะเห็นตลาดและร้านค้าทันที และถึงแม้จะเป็นวันอาทิตย์แต่คนก็ไม่เยอะเท่าไหร่ในช่วงนี้ ช่วงเวลาที่เปิดให้บริการระหว่างเวลา 08.00-17.00 น. ทุกวัน ซึ่งในช่วงสถานการณ์ปกติก็ยังมีตลาดนัดผักผลไม้ปลอดสารพิษราคาถูกอีกด้วยนะครับ แต่จะเปิดเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ในช่วงเช้าเท่านั้นบริเวณด้านหน้าตรงช่องทางเข้า-ออกตลาด เมื่อเข้าไปแล้วต้องล้างมือบริเวณอ่างล้างมือ มีบริการน้ำยาล้างมือให้ แต่ตอนที่ผมไปมันหมดพอดี และผ่านเครื่องยิงวัดอุณหภูมิก่อนเมื่อผ่านเข้ามาแล้ว ด้านขวามือจะเป็นร้านขายผลิตภัณฑ์แปรรูปต่าง ๆ รวมไปถึงวัตถุดิบจำพวกผักผลไม้ ส่วนด้านซ้ายมือจะเป็นร้านอาหาร เมนูอาหารมังสวิรัติมีทุกอย่างทั้งข้าวราดแกง ก๋วยเตี๋ยว ส้มตำ ขนมจีน ก๋วยจั๊บ อาหารตามสั่ง ขนมหวาน บางร้านก็เปิดให้บริการ บางร้านก็ปิด และที่โต๊ะนั่งกินอาหารก็มีการปรับเปลี่ยนให้มีการเว้นระยะห่างทางสังคม 1 คนต่อ 1 โต๊ะ เท่านั้น โดยมีป้ายติดให้เห็นอย่างชัดเจนแต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ โต๊ะนั่งกินแบบเดี่ยวนี้น่ารักจริง ๆ ครับ นั่นคือศิลปะขั้นสุดยอดของการผสมผสานของสองสิ่งให้มา Featuring กันได้อย่างลงตัว ระหว่างแท่นวางจักรเย็บผ้ากับบานหน้าต่างเก่า เข้ากับบรรยากาศจริง ๆ นะครับ หรือบางโต๊ะก็เป็นแท่นวางจักรแบบ Original แบบนี้ก็ได้อารมณ์การรับประทานอาหารไปอีกแบบหรือหากจะนั่งกินในร้าน ก็มีครับแต่ก็ต้องเว้นระยะห่างเช่นเดียวกันและที่พื้นก็จะมีสัญลักษณ์เพื่อให้เรายืนซื้ออาหาร อย่างมีระยะห่างทางสังคมอีกเช่นเดียวกันอิ่มอร่อยสะอาดถูกหลักอนามัยและแล้วก็ได้เวลาไปเดินดูอาหาร สำรวจให้ทั่วลานว่ามีอะไรที่น่าจะซื้อหา เพื่อนำมาส่งลงท้องให้อิ่มหนำสำราญใจ เดินไปก็หิวไปแต่ก็ต้องอดใจไว้สักนิด จะได้เห็นภาพรวมและเอามาประมวลผลตัดสินใจ (มันจะอะไรขนาดนั้น) สุดท้ายก็มาจบที่ร้าน "หม่องแซ่บ" สั่งเป็นข้าวราดแกง 3 อย่าง แกงเลียง แกงเทโพ และน้ำพริก ราคา 30 บาท แถมเป็นข้าวกล้องด้วย แม่ค้าถามว่าเพิ่มข้าวด้วยไหมคะ พระเจ้าช่วย เข้าทางผมจริง ๆ ครับแบบนี้ และที่ยิ่งชอบขึ้นไปอีกคือ ภาชนะที่ใส่ให้เรานั้นเป็น "ถาดหลุม" ได้รับสินค้ามาแล้วนี่เหมือนได้ย้อนอดีตกลับไปตอนอนุบาลเลยครับ และที่สำคัญคือมีน้ำซุปแถมให้ฟรีเลยครับ ตักตามอำเภอใจได้เลยครับ ในที่สุดก็ได้เวลาเลือกที่นั่ง ผมเลยรีบไปยังโต๊ะที่หมายตาไว้ตั้งแต่แรก ๆ ว่าจะต้องนั่งให้ได้สักครั้งในชีวิต พร้อมแล้ว ลุย !!!เมื่อได้ที่นั่งเรียบร้อย ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องจัดการกับภารกิจให้สำเร็จ ด้วยความหิวและรสชาติที่จัดว่าเด็ด ก็จัดการบรรเลงเพลงกินจนสิ้นเสร็จ ในเวลาไม่ถึง 10 นาที ก็มีสภาพอย่างที่เห็นครับ รสชาติอาหารผมให้ 4 ดาวครับยังครับ ยังมีส้มตำที่สั่งไว้อีกจาน ส้มตำปลาร้าเจ ราคา 35 บาท รสชาติจัดจ้านอีสาน Style สุด ๆ อันนี้ขนาดสั่งแบบเผ็ดปานกลาง น้ำหูน้ำตายังไหลเป็นทางเลยครับพี่น้อง รสชาติส้มตำอันนี้ให้ 4 ดาว เหมือนกันครับก่อนกลับก็เดินไปดูของเพิ่มเติม เพื่อซื้อกลับไปกินมื้อกลางวันและเย็น ทันใดนั้นสายตาก็พลันไปสะดุดกับชื่อร้านนี้อย่างจัง เหมือนชื่อนี้มีมนต์ขลังและมีพลังดึงดูดให้เราเข้าไปดูให้รู้ว่า มันคืออะไรให้ทายครับท่านผู้อ่าน ว่าเค้าจะขายอะไรให้เรา หรือเค้าอยากให้เราซื้ออะไร และเผาอะไร ให้เวลาทายไม่นานนะครับ เริ่มจับเวลา นับ 1 นับ 2 นับ 3 หมดเวลาครับ เฉลย...มันคือ มะเขือเผา ครับผมเก็บตกทางขึ้นลงบันไดร้านค้า นับว่ามีอารยสถาปัตย์ กล่าวคือ มีทางขึ้นลงสำหรับรถเข็นให้สำหรับผู้พิการหรือผู้สูงวัยได้ขึ้นลงได้อย่างสะดวก อันนี้ขอชื่นชมครับ เพราะสะท้อนถึงความเท่าเทียมกันในสังคม และยินดีต้อนรับทุกท่านด้วยความใส่ใจและอีกหนึ่งความประทับใจคือ ห้องน้ำสำหรับผู้เฒ่าผู้แก่ ผู้สูงวัย วัยชรา อาวุโส เค้าป้ายติดน่าห้องน้ำได้อย่างน่ารัก และน่าเข้ามาก ๆ นั่นคือ ผู้อายุยาวเสร็จสิ้นสำหรับภารกิจส่องร้านอาหารเจ-มังสวิรัติในวันนี้แล้ว หวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านผู้อ่าน คงจะได้รับสาระและความบันเทิงกันไปไม่มากก็น้อย และสิ่งหนึ่งที่ได้เป็นธรรมะข้อคิดเตือนจิตสะกิดใจในวันนี้คือ "สิ่งเล็ก ๆ ที่ทำด้วยความใส่ใจ มันคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของใครบางคน" ถ้าได้ไปเยี่ยมเยือนร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่ไหนอีก กระผมก็จะนำมาเล่าสู่กันฟังในลำดับต่อไป ไว้พบกันใหม่โอกาสหน้า สำหรับวันนี้ สวัสดีครับรูปภาพทั้งหมดถ่ายโดย ผู้เขียนบทความ