วัดสระเกศฯ หรือชื่อเต็มๆ ว่า วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร (วัดภูเขาทอง) คงมีคนเคยได้ไปไหว้พระสักการะสิ่งศักดิ์ที่วัดนี้มาบ้างแล้ว แต่ก็เชื่อว่าคงมีอีกหลายคน ที่เคยเดินผ่านแต่ไม่เคยได้เข้าไปเลยสักครั้ง วันนี้มอร์เมีย จึงขออาสาเป็นไกด์พาทัวร์วัดสระเกศฯ พร้อมกับแนะนำจุดไหว้พระที่สำคัญๆ ภายในวัด เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับชีวิตกันคะ วัดสระเกศฯ เป็นวัดโบราณในสมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดสะแก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์และขุดคลองรอบพระอาราม แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า วัดสระเกศ ซึ่งแปลว่า ชำระพระเกศา โดยระยะเวลาในการสร้างวัดแห่งนี้ เรียกได้ว่ายาวนาน กินเวลาถึง 4 รัชกาลด้วยกันกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ แผนที่วัด จุดแรกที่จะแนะนำให้แวะทันทีที่มาถึง นั้นก็คือ จุดหมายเลข 14 พระอุโบสถ คนส่วนใหญ่มักจะมาถึงแล้ว เดินผ่านตัวพระอุโบสถไปเลย โดยมักจะเดินขึ้นเขาพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) อย่างเดียว พระอุโบสถแห่งนี้ ใช้ในการประกอบพิธีกรรมอย่างเช่น การบวช เป็นหลัก ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระประธานขนาดใหญ่ ซึ่งไม่มีชื่อเรียกเป็นเฉพาะเจาะจง ทั้งนี้เป็นความตั้งใจ เพื่อให้เป็นปริศนาธรรม อันกล่าวได้ว่า "คนเรานั้น เกิดมาพร้อมกับความ ไม่มีอะไร ตายไปก็ไม่มีอะไรเช่นกัน ชื่อ นาม ยศ ล้วนแต่เป็นเพียงสิ่งสมมุติเท่านั้น" สิ่งที่น่าสนใจภายในพระอุโบสถอีกสิ่งหนึ่ง คือปริศนาภาพเก่าแก่อายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี รอบพระพระอุโบสถ ซึ่งได้ร้อยเรียงเรื่องราวปริศนาธรรม ประหนึ่งว่ามีพญานาคค่อยคุ้มครองเมือง พญานาคเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความดี ความมั่นคง และความสมบูรณ์ ผู้ใดที่คิดไม่ดี กระทำสิ่งไม่ดี พญานาคก็จะมาจัดการ แต่หากผู้ใด คิดดีทำดีพูดดี แม้จะถูกกลั่นแกล้ง พญานาคก็จะปกป้องคุ้มกันให้ปลอดภัย จุดหมายเลข 1 พระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) เรียกว่าใครมาวัดนี้ต้องขึ้นมาบนพระบรมบรรพต (ภูเขาทอง) ให้ได้ หากยังไม่ได้ขึ้น ถือว่ายังมาไม่ถึงกันเลยที่เดียว บนยอดของภูเขาทองแห่งนี้ มีจุดที่สำคัญที่เรียกว่า "สะดือเมือง" ซึ่งมีที่นี้ ที่เดียวในประเทศไทย การสักการะบูชาให้ถวายดอกดาวเรือง เพื่อเสริมความมั่นคงให้ชีวิต นอกจากนี้ ยังมีเจ้าเกณฑ์ชะตาหรือท้าวจตุโลกบานทั้ง 4 พระองค์ ตั้งประจำอยู่ทั้ง 4 ทิศ เชื่อกันว่าท่านคือผู้กำหนดชะตาชีวิตของมนุษย์ ท้าวธตรฐ รักษาโลกด้านทิศตะวันออก: สำหรับผู้ที่เกิดนักษัตรปีชวด, ฉลู, ขาล ให้บูชาด้วยผลไม้ เช่น แอปเปิ้ล, ส้ม, กล้วย เป็นต้น ท้าววิรุฬหก รักษาโลกด้านทิศใต้ : สำหรับผู้ที่เกิดนักษัตรปีเถาะ, มะโรง, มะเส็ง ให้บูชาด้วยขนมไทย เช่น ทองหยิบ ทองหยอด เป็นต้น ท้าววิรูปักษ์ รักษาโลกด้านทิศตะวันตก : สำหรับผู้ที่เกิดนักษัตรปีมะเมีย, มะแม, วอก ให้บูชาด้วยของประเภทเส้น เช่น สลิ่ม, ฝอยทอง เป็นต้น ท้าวกุเวร มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ท้าวเวสสุวรรณ รักษาโลกด้านทิศเหนือ : สำหรับผู้ที่เกิดนักษัตรปีระกา, จอ, กุล ให้บูชาด้วยสิ่งของ ที่เป็นชิ้นๆ อาทิเช่น ขนมจีบ, ซาลาเปา, ขนมสาลี่ เป็นต้น จุดหมายเลข 2 วิหารหลวงพ่อโต เชื่อกันว่าการมาสักการะบูชาหลวงพ่อโต ณ ที่แห่งนี้ สามารถอธิฐานขอบารมี ด้านความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ให้มีความเจริญเติบโต ไม่ต้องบนบานด้วยสิ่งใด สามารถตั้งจิตอธิฐานกับหลวงพ่อโตได้เลย หากใครอยากจะถวายอาหารใดๆ ให้บูชาด้วยขนมไทยสีทอง อาทิเช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง เป็นต้น ทั้งนี้ให้กล่าวอธิฐานจิตว่า "ขอให้อาหารที่ลูกนำมาถวายในวันนี้ จงเป็นอาหารทิพย์ ให้ลูกนำกลับไปสู่ครอบครัวและบริวาร ให้เกิดสิริมงคลด้วยเถอะ" แล้วลาอาหารนั้นๆ กลับไปโดยไม่จำเป็นต้องตั้งไว้นาน จุดหมายเลข 3 หลวงพ่อโชคดี การกราบสักการะบูชาหล่วงพ่อโชคดี ไม่จำเป็นต้องขอหรืออธิฐานสิ่งใด ให้กราบสักการะด้วยจิตใจที่สงบ โดยการเจริญภาวนาสติ การสวดมนต์ หรือการนั่งสมาธิ เชื่อกันว่าก็จะได้ประสบแต่ความโชคดีกลับไป จุดหมายเลข 4 หลวงพ่อดวงดี การกราบสักการะบูชาหล่วงพ่อดวงดี ไม่จำเป็นต้องขอหรืออธิฐานสิ่งใด เหมือนกันกับหลวงพ่อโชคดี ให้กราบสักการะด้วยจิตใจที่สงบ โดยการเจริญภาวนาสติ การสวดมนต์หรือการนั่งสมาธิ เชื่อกันว่าจะช่วยปรับดวงให้ดีขึ้น สำหรับใครที่ดวงตก ให้มากราบสักการะหลวงพ่อดวงดี ก็จะช่วยปรับให้ดวงที่ตกอยู่ให้ดีขึ้นได้ จุดหมายเลข 5 หลวงพ่อดำ ในการสักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมากแล้วเรามักจะมากราบไหว้ เพื่ออธิฐานขอพรต่างๆ นานา แต่จริงๆ แล้ว หากเรามากราบสักการะด้วยจิตที่สงบ เพื่อเสริมความเป็นสิริมงคลนั้น ไม่จำเป็นขออธิฐานขอสิ่งใด หากแต่เชื่อกันว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะเมตตาประทานพรนั้นๆ มาให้เราได้เอง และสำหรับการมาสักการะบูชาหลวงพ่อดำ ณ ที่วัดสระเกศฯ นี้ เชื่อกันว่าหลวงพ่อดำจะประทานพร ส่งเสริมให้เรามีสติ ปัญญา และบารมี จุดหมายเลข 19 พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปบามิยัน (จำลอง) พระพุทธรูปแห่งบามียาน เป็นพระพุทธรูปยืน ที่สลักอยู่บนหน้าผาสูง 2500 เมตร ในหุบผาบามียาน ณ จังหวัดบามียานของประเทศอัฟกานิสถาน ในปี ค.ศ. 1996 กลุ่มติดอาวุธตาลีบัน ได้บังคับใช้กฎหมายอิสลามสุดโต่งไปทั่วประเทศ ด้วยการสั่งทำลายรูปปั้น รูปสลัก และศิลปวัตถุ ทางพุทธศาสนา ซึ่งรวมถึง พระพุทธรูปแห่งบามิยัน ที่เคยเป็นพระพุทธรูปยืนที่สูงที่สุดในโลกแห่งนี้ด้วย ทางวัดสระเกศฯ ได้มีการสร้าง พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปบามิยัน (จำลอง) นี้ขึ้นมา เพื่อให้คนรุ่นหลังให้เห็นความงดงามของพระพุทธรูปบามิยัน ที่เคยมีอยู่ในอดีต แนะนำว่าให้จัดเวลามาสักครั้งหนึ่งในชีวิต และหากใครพอมีเวลาก็สามารถเดินชมตามจุดต่างๆ ตั้งแต่จุดแรกถึงจุดสุดท้ายที่ 19 ก็ได้ ก็จะยิ่งดีนักและ เพราะทุกๆ จุดที่นั้น ล้วนแต่มีความหมายและความสำคัญไม่แพ้กัน เวลาเปิด-ปิด เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าเที่ยวชมได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-18.00 น. แต่ช่วงเทศกาลสำคัญ ก็อาจจะขยายเวลาเปิดจนถึงกลางดึก ค่าเข้าชม สำหรับนักท่องเที่ยวชาวไทย ไม่มีค่าเข้าชม แต่ถ้าเป็นชาวต่างชาติ จะมีค่าเข้าชมท่านละ 50 บาท ขอขอบคุณข้อมูลจาก ททท., onab.go.th, thailandtourismdirectory.go.th credit ภาพ : มอร์เมีย , ททท เพจ https://www.facebook.com/thaitourismnews/