แสงแดดที่แผดเผาลงบนใบไม้เขียวจนเหี่ยวแห้ง กับลมอ่อน ๆ ที่พัดพาเอากลิ่นแดดโชยมาต้องกับจมูก ดวงอาทิตย์อ้วน ๆ ที่ตอนนี้เดินทางมาอยู่กลางหัวของเราพอดี ทำให้คาดคะเนเวลาได้ว่าเป็นเวลาเที่ยงวันโดยประมาณ นาฬิกาแดดตามธรรมชาติอาจไม่เที่ยงตรง เพราะมีเรื่องของฤดูกาลที่ควบคุมองศาของพื้นโลกให้บิดเบี้ยว เอนเอียง ทำให้เวลานั้น บิดเบือนอยู่เสมอ แต่นาฬิกาชีวิตกลับร้องโครกครากเตือนได้อย่างตรงเวลาทุกวันว่าได้เวลากินข้าวแล้ว ภาพโดย Ounjang คำถามประจำวัน วันละ 3 เวลา หรือ อีกหลาย ๆ คน อาจจะมากกว่านั้น คือ “กินอะไรดี?” เป็นคำถามที่ยากจะตอบ คงไม่ใช่เพราะไม่รู้ว่าจะกินอะไร แต่มันมีอะไรให้กินมากมายจนเกินไป มาถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องแปลกประหลาด สมัยยังเรียนวิชาการตลาด พอจะจำได้เลา ๆ ว่า หากอยากจะเปิดร้านดำเนินกิจการอะไร ต้องคำนึงถึง P สี่ตัว อันย่อมาจาก Product, Price, Place, Promotion พูดง่าย ๆ ว่า ต้องคิดไว้เสมอว่า จะขายอะไร ราคาเท่าไร ทำเลหรือฮวงจุ้ยเป็นอย่างไร มีการส่งเสริมการขายแบบไหน แต่ เดี๋ยวก่อน… มันมีธุรกิจบางอย่างที่ไม่ต้องกังวลกับทำเล ซึ่งผมจะได้กล่าวต่อไปนี้ นั่นก็คือ ธุรกิจร้านอาหาร… คือ หลายคนอาจจะเถียงจนคอเป็นเอ็นเลยแหละ ว่าไม่ด๊าย ไม่ด้าย ที่ทาง ทำเลนี่สำคัญมาก ๆ ถึงขั้นตัดสินชีวิตกันเลย แต่ฟังผมเล่าก่อนนะอย่าพึ่งโมโห ภาพโดย Ounjang เวลาเที่ยงของวันไหนซักวันหนึ่งตามเวลาท้องถิ่นประเทศไทยนี่ล่ะ ผมก็คุยกับเพื่อนนะว่าเที่ยงนี้ไปกินอะไรกันดี ก็มีเสียงน่ารัก ๆ ของน้องสาวคนหนึ่ง แว่วมาว่าอยากกินส้มตำ ผมก็ได้หมดนะ แค่ขอให้เสนอมาเถอะ พอมีคนเห็นด้วยน้องสาวของเราก็บอก งั้นไปร้านนี้กัน อร่อยมาก แซ่บมาก รับประกัน ผมก็โอเค ไม่ต้องคิดเอง ได้นั่งกินอาหารกลางวันโง่ ๆ แบบไม่ต้องคิดอะไรมันดีมากเลยนะ ไม่เชื่อลองทำดู ว่าแล้วก็ชวนกันไป น้องไปหยิบกุญแจรถ เอ๊ะ ชักยังไง ต้องใช้รถเลยเหรอ คิดว่าอยู่แถว ๆ หน้าปากซอยอะไรงี้ น้องก็ยังตะล่อมชวนไป นางบอกไม่ไกล แป๊บเดียวถึง อ่ะ โอเค ไม่ไกลก็ไม่ไกล ตกลงปลงใจแล้วก็ต้องไป ตอนนั้นที่ทำงานผมอยู่แถว ๆ ถนนสามเสน ออกมาจากที่ทำงานก่อนเวลาพักเล็กน้อยเพราะว่าถ้าต้องเอารถไปนี่คงใช้เวลาไม่น้อย ชวนเพื่อนไปอีก 1 คน รวมเป็นสามคน รถคันเดียว เจ้าน้องสาวเป็นคนขับเพราะชำนาญเส้นทาง ก็ขับไปตามถนน ข้ามสะพานซังฮี้ ตัดตรงไปถนนสิรินธร แล้วเข้าถนนบรมราชชนนี เฮ้ย นี่มันไกลเกินกว่าจะเป็นอาหารกลางวันแล้วมั้ง กำลังจะหันไปทัดทานว่าไกลไปหน่อยไหม เห็นหน้าเจ้าคนขับก็แอบเกรงใจ เพราะเจ้าหล่อนดูมุ่งมั่นในชีวิตมาก ดวงตาส่องประกายเจิดจรัส ท่าทางกระตือรือร้น เหมือนหมาป่ากำลังออกล่าเหยื่อ ถ้ามีน้ำลายไหลยืด ๆ นี่ใช่เลย เป็นดังนี้ก็ปล่อยเลยตามเลย ในความรู้สึกคือมันไกลมาก เหมือนกับจะไปถึงเชียงใหม่ได้มั้ง ยิงยาวมาตามทางสังเกตป้ายพุทธมณฑลสายหนึ่ง ตัดเข้าถนนสายนี้อดทนนิดเดียวก็มาถึงร้านอาหารที่ว่านี้ ร้านนี้ชื่อว่า "เฮือนลำพูน" เฮือนเป็นคำเมือง หรือ ภาษาเหนือ แปลว่า เรือน เห็นไหมผมบอกแล้วนานเหมือนกับจะไปเชียงใหม่ นี่มาถึงลำพูนกันเลย ร้านอยู่ริมถนน หาง่ายป้ายใหญ่โต แถวนั้นดูเงียบเชียบ ไม่ค่อยพลุกพล่าน ร้านก็ดูเงียบ ๆ ยังไม่ค่อยมีคนมาขนาดว่าเที่ยงแล้ว ที่นี่เป็นร้านอาหารพื้นเมืองทางเหนือ รูปแบบการจัดแต่งร้านก็ให้อารมณ์ล้านนาดีมาก มีหม้อน้ำตั้งไว้ ทำให้นึกถึงสมัยเด็ก ๆ ตอนไปเที่ยวเชียงใหม่ ทางเหนือนี่หน้าบ้านมักจะมีน้ำดื่มไว้ให้นักเดินทางได้ดื่มกันฟรี คนเหนือเชื่อว่าการให้ทานด้วยน้ำดื่มนั้นได้บุญ พอมาเห็นที่ร้านนี้ตกแต่งร้านด้วยหม้อน้ำเลยนึกถึงคำพูดเมื่อวันเก่า แถมยังมีแหย่ง หรือ เตียง ที่ทำจากไม้ ทำให้มั่นใจได้ว่า เจ้าของต้องเป็นชาวเหนือแน่นอน ในร้านมีทั้งที่เป็นห้องแอร์กับที่เป็นในศาลาโล่ง ในวันที่ไปนั้นอากาศดี เราก็เลยเลือกไปนั่งตรงโซนธรรมดาพอเราหามุมเหมาะ ๆ ได้สาว ๆ ก็สั่งอาหารกันอย่างเมามันส์ มาร้านอาหารเหนือก็เลยได้กินแกงเหนือ อย่างแรกคือ แกงฮังเล เป็นแกงคล้าย ๆ แกงมัสมั่น แต่จะรสชาติจะฉุนเฉียวกว่า เนื้อในนั้นเป็นเนื้อหมูที่ต้มจนเปื่อยเอาเข้าปากแทบจะละลายหายไปเลย ลาบเมือง หรือ ลาบเหนือ จะเป็นลาบที่คั่วกับน้ำมันโรยแคบหมู รสชาติไม่เปรี้ยวเหมือนลาบอีสานออกเผ็ด ๆ มัน ๆ กินแกล้มกับผักสด ๆ ได้รสชาติไปอีกแบบ ไส้อั่ว หรือ ไส้กรอกแบบทางเหนือ อุดมไปด้วยกลิ่นหอมของสมุนไพร ไม่รู้มีอะไรบ้างแต่กลิ่นลอยติดจมูกดี ตำมะหนุน หรือ ตำขนุน เอาขนุนอ่อน มาตำกับเครื่องแกงแบบทางเหนือ รสชาติแปลกใหม่สำหรับเราชาวกรุง ส่วนผมหิวน้ำเลยเปิด ๆ ดูเมนูและสั่งน้ำอัญชันมะนาวสีสวยมาลอง ที่นี่เสริฟมา สีไล่มาเป็นเฉดสวยมาก นอกจากนี้ก็มีส้มตำ ไก่ย่าง มารวม ๆ กันสามสี่อย่าง ซึ่งจริง ๆ ว่าจะมากินส้มตำกันไม่ใช่รึ? ที่ทำให้ผมประหลาดใจอย่างหนักคือ น้อง ๆ เค้ายังสั่งของหวานข้าวเหนี่ยวมะม่วง ราดกะทิ มากินกันต่ออย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แค่เห็นก็เบาหวานจะขึ้นตากับ ลอดช่อง ที่ปนแตงไทยหอม ๆ ถ้าเป็นอันนี้ล่ะก็พอไหว เบาเย็น ๆ มาตบท้ายกันอีก น้องบอก กินคาวไม่กินหวานสันดานไพร่ เออ พี่ยอมเป็นไพร่ ดีกว่าตัวแตก เห็นตัวบาง ๆ ในท้องน้องมีพยาธิงูเหลือมสิงอยู่หรืออย่างไร สนนราคาค่าเสียหายเบ็ดเสร็จ 1,358 บาท ลงท้ายบิลล์ ขอบคุณเจ้า มาด้วย เอ่อ เก๋ ๆ ตกคนละ 450 เกินคุ้มมาก แต่บอกเลยอย่าทำแบบนี้ ตัวแตกเอาง่าย ๆ เสร็จเรียบร้อยก็ได้เวลากลับไปทำงานต่อ ที่กล่าวมาทั้งหมดคือจะบอกว่า สำหรับร้านอาหารที่ฝีมือดี ทำอร่อย ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในซอกหลืบหายากเพียงใด หรือแม้แต่จะธุรกันดารแสนไกลแค่ไหน คนก็จะดั้นด้นเดินทางไปลองลิ้มชิมรสอย่างแน่นอน ภาพถ่ายทั้งหมด โดย Ounjang