'I Can't Breathe' ประโยคสุดท้ายก่อนจากไปของ จอร์จ ฟลอยด์ (George Floyd) ชายผิวสีที่ถูกตำรวจใช้หัวเข่ากดคอจนหายใจไม่ออกและเสียชีวิตลงในที่สุด จากความผิดใช้ธนบัตรปลอมในการซื้อขายสินค้าและถูกควบคุมจนถึงแก่ชีวิต ได้โหมกระพือให้ชุมชนชาวผิวสีในสหรัฐอเมริกาลุกฮือขึ้นมาก่อการจลาจล เพื่อประท้วงเรียกร้องความยุติธรรมอันเกิดจากการกระทำเกินกว่าเหตุของนายตำรวจคนดังกล่าว ตามที่เราได้เห็นข่าวสารกันไปบ้างแล้วในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ความวุ่นวายที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้แฮชแท็ก #BlackLivesMatter ถูกปลุกขึ้นมาใช้เรียกร้องสิทธิและเสรีภาพของชุมชนคนผิวสีอีกครั้ง เรียกว่านี่เป็นประวัติศาสตร์การต่อสู้แห่งอัตลักษณ์ระหว่างคนสองกลุ่ม บทความนี้ผู้เขียนจึงพาย้อนกลับไปดูกันว่า #BlackLivesMatter เกิดขึ้นได้อย่างไร และการเรียกร้องดังกล่าวจะยุติความคิดเรื่องการเหยียดสีผิวลงได้หรือไม่ ไปหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ผู้เขียนขอหยิบยกสถิติของ VOX สื่อยักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกาขึ้นมาอ้างอิง เพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นว่าชุมชนคนผิวสีในสหรัฐอเมริกาที่มีเพียงร้อยละ 13 ของประชากรทั้งหมด แต่กลับมีอัตราการถูกวิสามัญหรือถูกลงโทษเกินกว่าเหตุจากตำรวจมากถึงร้อยละ 39 นั่นจึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้พวกเขารู้สึกว่า หลายครั้งชาวผิวสีถูกเหมารวมว่าเป็นอาชญากร เป็นโจร ค้ายาเสพติด กระทำผิดกฎหมายหลายประเภท จนตกเป็นเป้าโจมตีของหน่วยงานตำรวจในสหรัฐอเมริกา พูดให้เข้าใจง่าย ๆ สมมติมีห้างสรรพสินค้าถูกปล้นสดมภ์ ตำรวจก็เลือกที่จะเพ่งเล็งไปว่าชาวผิวสีเป็นคนร้ายเอาไว้ตั้งแต่ยังไม่สืบสวน เป็นการเลือกปฏิบัติอย่างชัดเจน จนทำให้เกิดการเรียกร้องผ่านแฮชแท็ก #BlackLivesMatter มาตั้งแต่ปี 2013 โดยนักสิทธิมนุษยชนแอฟริกันเรื่องมันเริ่มขึ้นเมื่อปี 2012 เมื่อเด็กชายชาวผิวสีวัยเพียง 17 ปี ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยิงเสียชีวิต ด้วยความที่เด็กชายคนดังกล่าวเป็นต่างถิ่น และเพียงเพราะเขามาเยี่ยมญาติ แต่ถูกเข้าใจผิดว่าเป็นหัวขโมย เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้ อลิเซีย การ์ซา (Alicia Garza) นักสิทธิมนุษยชนแอฟริกันได้เขียนจดหมายถึงพี่น้องชาวผิวสีด้วยกัน เพื่อระบายความอัดอั้นตันใจว่าเพราะเหตุใดชีวิตของชาวผิวสีจึงมีค่าน้อยนิด เธอยังสร้างขวัญและกำลังใจให้พี่น้องของเธอ เรียกร้องให้ลุกขึ้นมาต่อสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา เป็นที่มาของแฮชแท็ก #BlackLivesMatter ซึ่งก็แปลว่า ชีวิตของชาวผิวสีนั้นสลักสำคัญ เพื่อประกาศให้รู้ว่าชุมชนคนผิวสีก็เป็นมนุษย์ไม่ต่างจากคนเชื้อชาติอื่นบนโลกผืนเดียวกันนี้หลังจากนั้น #BlackLivesMatter ก็ถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวเรื่อยมา เพราะเหตุการณ์ที่ชาวผิวสีถูกโทษเกินกว่าเหตุจากความคิดเหยียดสีผิวไม่เคยยุติลงได้เลย อย่างในปี 2013 ตำรวจล็อกคอชายชาวผิวสีจนเสียชีวิต เพียงเพราะจำหน่ายบุหรี่ที่ไม่มีอากรแสตมป์ และปี 2014 เด็กชายวัย 12 ปี ถูกยิงเสียชีวิตเพียงเพราะเล่นปืนอัดลม ไม่เพียงเท่านั้น แฮชแท็กดังกล่าวยังไปเกี่ยวข้องกับแวดวงบันเทิง เนื่องจากในปี 2016 งานประกาศรางวัลออสการ์ ได้มอบตำแหน่งให้กับนักแสดงผิวขาวด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งที่นักแสดงผิวสีสามารถทำผลงานได้โดดเด่นไม่แพ้กัน การตัดสินครั้งนั้นทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ถึงการเหยียดสีผิวไปในวงกว้าง โดยเฉพาะ #OscarsSoWhite บนทวิตเตอร์และล่าสุดการใช้ความรุนแรงจากคนผิวขาวต่อคนผิวสีก็เกิดขึ้นอีกครั้ง แม้ปัจจุบันตามสื่อสารมวลชนเราจะเห็นแคมเปญต่าง ๆ ที่ทำให้รู้สึกว่าในสหรัฐอเมริกาไม่มีใครเหยียดสีผิวกันแล้ว แต่ในโลกความเป็นจริงกลับสวนทาง ยังคงมีองค์กรที่สร้างคนขาวขึ้นมาไล่กระทืบและใช้ความรุนแรงกับชาวผิวสีอย่าง Ku Klux Klan ผู้เขียนคิดว่าการเหยียดสีผิวในสหรัฐอเมริกายังเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติอยู่ไม่น้อย อย่างการค้าทาสในอดีต โดยเฉพาะช่วงปี 1900-1950 ขณะนั้นชาวอเมริกันยังมองว่าคนผิวสีเป็นทาสกันอยู่เลย สวนสัตว์มนุษย์เอาชาวแอฟริกันและชาวเอเชียอย่างฟิลิปปินส์ ไปจัดแสดงเพื่อให้คนอื่นเห็นว่าคนเหล่านี้เป็น 'ของแปลก' และสิ่งที่ทำให้เราเห็นชัดเจนว่ามีการแบ่งแยกทางสีผิวอย่างชัดเจน นั่นคือการที่คนผิวสีในนครนิวยอร์กต้องอยู่อาศัยอยู่ในย่าน Harlem ซึ่งสมัยก่อนต้องอยู่กันแออัด ไม่สามารถขยับขยายไปที่ใดได้ เพราะถูกมองว่าน่ารังเกียจ เป็นโจรขโมยจักรยาน ขโมยไก่ทอด ชาวอเมริกันจึงไม่ให้การต้อนรับพวกเขามากนักผู้เขียนมองว่าด้วยแนวคิดอนุรักษ์นิยมที่ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่อดีต การเหยียดสีผิวจึงยังเกิดขึ้นไม่มีวันจบ ชาวผิวสีถูกเหมารวมว่าเป็นคนชั้นต่ำ เป็นอาชญากร เพราะอย่างที่บอกว่าตั้งแต่อดีต ประวัติศาสตร์สร้างให้พวกเขาถูกมองว่าเป็นเช่นนั้นมาโดยตลอด ชาวผิวสีที่เป็นทาสไม่มีที่ไป ไม่มีหนทางประกอบอาชีพ แต่หากเรามองถึงความงดงาม ชุมชนคนผิวสีมีวัฒนธรรมดนตรีที่งดงาม ทุกคนยกย่องให้ดนตรี Blues ของชาวผิวสีเป็นมรดกทางวัฒนธรรม และมิหนำซ้ำบทเพลงหลายเพลงยังถูกสร้างขึ้นเพื่อระบายความเจ็บปวดจากโชคชะตาที่พวกเขาถูกกระทำ หากเรารักวัฒนธรรมของพวกเขา เราจึงต้องรักพวกเขาในฐานะผู้สร้างวัฒนธรรมด้วย ดังนั้นจาก #BlackLivesMatter ผู้เขียนจึงอยากบอกว่า ไม่เพียงแต่ชาวผิวสีเท่านั้น แต่ทุกเชื้อชาติ ทุกสัญชาติ ทุกสถานะทางสังคมของแต่ละคนไม่ได้เป็นสิ่งที่เราสามารถนำมาตัดสินว่าใครเป็นคนอย่างไร เราจึงควรปฏิบัติต่อทุกคนในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างเท่าเทียมเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Milad B. Fakurian : UNSPLASH- รูปภาพประกอบที่ 1 โดย Munshots : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 2 โดย Nicole Baster : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 3 โดย Clay Banks : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 4 โดย Clay Banks : UNSPLASHข้อมูลสถิติที่ใช้อ้างอิง- There are huge racial disparities in how US police use force : VOX