อาหารไทยเป็นอาหารที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ใครได้ลิ้มรสลองแล้วก็ต่างประทับใจกัน ผมจะพาเพื่อนๆ ไปรีวิวร้าน Royal Osha ร้านอาหารไทยที่ขอบอกเลยว่าไม่ใช่ร้านอาหารธรรมดาแต่เป็นร้านนี้มีความ Luxury หรูหรามากทั้งในด้านของการตกแต่งบรรยากาศ การบริการ การออกแบบเมนูอาหารให้มีความพิเศษเป็นเอกลักษณ์ในการตกแต่งอาหารและรสชาติ แต่ละจานที่เสิร์ฟผ่านการคัดสรรส่วนผสมและวิธีการนำเสนออาหารเรียกได้ว่าใส่ใจในทุกขั้นตอนจริง โดยการมาร้านครั้งนี้มาพร้อมกับคุณเพื่อนที่ช่วยขับรถ เมื่อมาถึงแถวสี่แยกเพลินจิตเลี้ยวไปทางถนนวิทยุ พอผ่านหน้าอาคาร All Season Place อีกประมาณ 400 เมตรก็ถึงเลย โดยสังเกตทางด้านซ้ายมือไว้นะครับ ร้านจะอยู่ติดถนนแต่ว่าเราจะต้องไปจอดรถด้านหลังร้านกันครับ พอเลี้ยวไปก็แจ้งกับทางพี่ รปภ.ว่ามาทานอาหารครับ พี่รปภ.รีบแนะนำจุดจอดรถให้เลยครับ บริการดีมาก ประทับใจตั้งแต่มาถึงกันเลยทีเดียว เมื่อเปิดประตูเข้าไปภายในร้านพนักงานบริการสาวสวยออกมาไหว้ต้อนรับอย่างนอบน้อม และเดินนำพาไปที่โต๊ะที่จองไว้ครับ พร้อมกับนำเมนูอาหารมาให้ ร้านนี้จะเสิร์ฟเป็นคอร์สครับ บรรยากาศภายในร้านจะตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นที่ผสมผสานความเป็นไทยได้อย่างลงตัว ดูที่หรูหราและมีความประณีตในการเลือกใช้วัสดุสีทองมาตกตแต่งได้อย่างลงตัวมากครับ ภายในร้านไม่กว้างมากครับ มีโต๊ไว้บริการลูกค้าไม่มากนัก ผมขอแนะนำให้เพื่อนๆ ควรโทรมาจองโต๊ะล่วงหน้าก่อน เมื่อเปิดประตูก้าวขาเข้าไปภายในร้านพนักงานบริการสาวสวยออกมาไหว้ต้อนรับอย่างนอบน้อม สวมชุดไทยผ้าไหมประยุกต์และเดินนำพาไปที่โต๊ะที่จองไว้ครับ พร้อมกับนำเมนูอาหารมาให้อย่างคล่องแคล่วสมกับที่ทางร้านได้รับการแนะนำในมิชชินไกด์ ทางร้านนี้จะเสิร์ฟอาหารแบบเป็นคอร์สครับ โดยมีเมนูอาหารที่สลับเปลี่ยนตามเทศกาล แต่ขอบอกว่าเลยว่าทุกเมนูมีความวิจิตรบรรจงใส่ใจในการเลือกส่วนผสมอย่างมากครับ หลายคนคงอยากรู้แล้วว่าเป็นยังไง ผมจะขอยกตัวอย่างความพิเศษของบางเมนูอาหารที่ผมได้ลองทานมาเล่าให้ทุกคนฟังกันนะครับ ข้าวก้อง ขอเริ่มต้นจากข้าวก้องก่อนนะครับ หลายคนอาจจะแปลกใจว่าข้าวก้องไม่น่าจะมีความแปลกใหม่อะไร ก็คงจะเหมือนๆกับร้านอื่นๆ อย่างมากก็คงแค่มีความนุ่มหอมแตกต่างกันนิดหน่อยจะมีความน่าสนใจได้ยังไง ผมเองต้องตื่นเต้นมากเมื่อเห็นพนักงานเสิรฟ์นำข้าวก้องมาเสิร์ฟ เพราะผมเห็นพนักงานเสิร์ฟนำกะลามะพร้าวเผามาจากนั้นค่อยๆเปิดกะลามะพร้าว บรรจงวางบนโต๊ะ ภายในมีข้าวก้องอยู่ ใช่ครับ ข้าวก้องถูกนำมาเสิร์ฟในกะลามะพร้าวครับ พนักงานเสิร์ฟได้อธิบายว่า ข้าวก้องของร้านหุงด้วยน้ำมะพร้าว ทำให้ข้าวมีกลิ่นหอมของมะพร้าวมีความนิ่มและมัน ยังไม่พอแค่นั้น การที่ใส่มาในกะลามะพร้าวเผาก็ช่วยเพิ่มความหอมให้ข้าว การที่กะลามะพร้าวโดนเผามาด้วยเพื่อทำให้เพิ่มกลิ่นหอมมากขึ้นไปอีก ทำให้ข้าวก้องตรงหน้าผมมีทั้งความหอมของมะพร้าวมีรสหวานหอมละมุนมากครับ กุ้งพันโสร่ง กุ้งพันโสร่งเสิรฟ์มาในชามเงินลวดลายสวยงาม ถึงแม้ว่าภายนอกอาจจะดูเป็นกุ้งพันโสร่งที่มีเส้นหมี่พันเหมือนกับร้านอื่น แต่จานนี้มีการอธิบายว่าเชฟได้เลือกใช้เส้นหมี่ภูเก็ตมาพัน เนื่องจากได้คัดเลือกว่าเป็นเส้นหมี่ที่มีรสชาติจัดจ้านเฉพาะตัว ช่วยเพิ่มรสชาติแตกต่างจากเส้นหมี่จากที่อื่นๆ และมีขนาดเส้นหมี่ที่ไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไปขนาดของเส้นหมี่โคราชมีขนาดที่เหมาะสมกับการกินร่วมกับกุ้ง และน้ำจิ้มกุ้งโสร่งทางเชฟก็บรรจงเลือกใช้ส้มจี๊ดมาเป็นส่วนผสมเนื่องจากให้รสชาติเปรี้ยวเฉพาะตัว ได้รสชาติเข้ากับการมาทำเป็นน้ำจิ้มทานกับกุ้งโสร่ง ผมได้ฟังแล้วก็ยอมรับมากว่าทางร้านใส่ใจในทุกรายละเอียดจริงๆ ปลาหมึกผัดไข่เค็ม ทางร้านได้อธิบายว่าทางร้านได้เลือกใช้ไข่เค็มไชยาเท่านั้น เพราะทางเชฟได้เลือกสรรไข่เค็มหลายที่แล้วพบว่าไข่เค็มไชยามีความมันและความเค็มที่ไม่มากไม่น้อยเกิน เมื่อนำมาปรุงกับปลาหมึกทำให้ได้รสชาติที่ลงตัวที่สุด ไม่กลบรสชาติของปลาหมึก จานนี้อร่อยมากครับ และขอแนะนำเมนูที่ผมประทับใจที่สุด คือต้มยำกุ้ง ตอนแรกที่พนักงานเสิรฟ์นำจานกุ้งมาวางผมก็แปลกใจว่า เอ๊ะ ทำไมมีแต่กุ้งอยู่ในจานแต่ไม่เห็นมีน้ำต้มยำมาด้วย สักครู่เดียวพนักงานเสิร์ฟก็นำหลอดแก้วขนาดใหญ่ ซึ่งแบ่งเป็นหลอดแก้วด้านบนและด้านล่าง ด้านบนมีตะไคร้ใบมะกรูดสมุนไพรที่ปกติเราผสมลงในน้ำต้มยำและด้านล่างน้ำต้มยำสีสันเข้มข้นบรรจุอยู่ภายในหลอด ทำให้ผมประหลาดใจทีเดียวครับ สักครู่พนักงานก็อธิบายว่าทางร้านมีเทคนิคพิเศษในการเสิร์ฟที่ทำให้น้ำต้มยำมีความหอมของเครื่องสมุนไพรมีความเข้มข้นของน้ำต้มยำ จากนั้นพนักงานเสิร์ฟใช้ที่พ่นไฟลนไฟไปที่ด้านล่างหลอดแก้วจนน้ำต้มยำค่อยๆเดือดขึ้น จนน้ำต้มยำพุ่งไปด้านบนของหลอดแก้ว ทะลุขึ้นไปรวมกับเครื่องต้มยำข่าตะไคร้ใบมะกรูดที่อยู่ด้านบนของหลอดแก้ว จนเกิดการผสมเครื่องปรุงอย่างเดือดพล่านภายในหลอดแก้วด้านบน จากนั้นพนักงานก็หยุดพ่นไฟ น้ำต้มยำที่ผสมกับสมุนไพรด้านบนก็ค่อยๆ หยุดเดือดคลายความร้อน แล้วไหลย้อนกลับลงมาที่หลอดแก้วด้านล่าง จากนั้นพนักงานเสิร์ฟก็บรรจงหยิบหลอดแก้วน้ำต้มยำมารินเทใส่ลงบนตัวกุ้ง ขอปรบมือให้กับเทคนิคพิเศษนี้มากครับ ผมประทับใจกับเมนูต่าง ๆของร้าน Royal Osha มากครับที่เลือกสรรทั้งส่วนผสม ขั้นตอนการทำ ทุกจานล้วนแต่มีเรื่องราวที่น่าสนใจมาก ทางร้านมีการปรับเปลี่ยนเมนูอาหารเป็นประจำหรือตามเทศกาลต่างๆ อยากให้เพื่อนๆ ลองหาโอกาสได้มาลิ้มลองลิ้มรสอาหารอันแสนโอชาที่ร้าน Royal Osha กันครับ มั่นใจได้ว่าจะประทับใจอย่างแน่นอนครับ ภาพทั้งหมดโดยอภิชัช เจตะวัฒนะ