752 ก่อนคริสตกาล (ตรงกับช่วง 189 ปีก่อนการประสูติของพระพุทธเจ้า) ในคาบสมุทรอิตาลีโบราณ แถบเทือกเขาแอเพนไนน์ พระเจ้าติตุส ตาติอุส (Titus Tatius) กษัตริย์แห่งเมืองซาบีน (Sabine) โปรดให้คณะทูตจากเมืองใหม่ที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นทางใต้ของซาบีน มาเข้าเฝ้าพระองค์ตามที่พวกเขาร้องขอ แต่แทนที่จะได้รับข้อเสนอเชื่อมสัมพันธไมตรีการค้าทั่ว ๆ ไป พระองค์กลับต้องทรงสดับเรื่องปัญหาที่น่าหนักใจ คณะทูตแจ้งว่า เมืองใหม่ของพวกเขาชื่อ กรุงโรม หรือ โรมา (Roma) และกษัตริย์ของพวกเขา พระเจ้าโรมูลุส (Romulus) มีพระประสงค์จะเพิ่มจำนวนประชากร สร้างคนรุ่นถัดไปที่จะเป็นอนาคตของเมือง แต่ติดขัดตรงที่ว่า กรุงโรมมีแต่ผู้ชายเสียเป็นส่วนใหญ่ จึงทรงขอให้พระเจ้าติตุส ตาติอุส ช่วยกำนัลหญิงสาวพรหมจรรย์ให้แก่ผู้ชายโรมัน หากว่าตกลง ชาวโรมันและชาวซาบีนก็จะได้เป็นญาติกันสืบไป พระเจ้าติตุส ตาติอุส ทรงตระหนักถึงอันตรายขึ้นมาทันที เจ้าหนุ่มโรมูลุสผู้นี้มีชื่อเสียงเลื่องลือในคาบสมุทรอิตาลี เดิมทีเขาเป็นเพียงคนเลี้ยงแกะเมืองอัลบา ลองกา (Alba Longa) ว่ากันว่า ครอบครัวคนเลี้ยงแกะเก็บเขากับน้องชายฝาแฝด เรมุส (Remus) มาจากในป่า โดยเด็กทั้งสองเคยอาศัยน้ำนมของแม่หมาป่ายังชีพ บ้างก็ว่าพวกเขาเป็นโอรสของเทพแห่งสงคราม โรมูลุสกับเรมุสเติบโตขึ้นกลายเป็นหัวหน้ากลุ่มคนเลี้ยงแกะ รวบรวมกำลังพลล้มล้างอำนาจของกษัตริย์ทรราชแห่งอัลบา ลองกา คืนบัลลังก์ให้กษัตริย์ผู้ชอบธรรม ก่อนจะเดินทางออกมาสร้างเมืองใหม่เป็นของตัวเอง พวกเขายินดีรับพวกทาส ผู้ลี้ภัย นักโทษที่โดนเนรเทศ และสารพัดคนนอกคอกจากดินแดนต่าง ๆ เข้ามาเป็นประชาชน และก็คงด้วยความดุร้ายที่ได้รับสืบทอดมาจากแม่หมาป่ากระมัง ทำให้เมื่อสองพี่น้องทะเลาะกันอย่างหนักเรื่องที่ตั้งเมือง รวมถึงผู้คนเริ่มตัดสินใจไม่ถูกว่าจะให้ใครเป็นผู้นำ โรมูลุสก็สังหารเรมุส ในวันที่ 21 เมษายน ของปีก่อน เขายึดวันนั้นเองเป็นวันสถาปนากรุงโรม ซึ่งตั้งตามชื่อโรมูลุส ผู้ได้เป็น ‘จ่าฝูง’ เพียงหนึ่งเดียวในที่สุด แม้ว่าเมืองซาบีนจะมีผู้หญิงอยู่มากมาย แต่จู่ ๆ จะสั่งให้ประชาชนส่งลูกสาวไปเป็นภรรยาของกลุ่มคนเลี้ยงแกะและคนนอกคอก ซึ่งบัดนี้คือชาวโรมัน ก็จะโดนกระแสต่อต้าน ที่สำคัญ กรุงโรมเพิ่งสถาปนาเพียงหนึ่งปี ทว่าอุดมภูมิปัญญาวิทยาการ มีการจัดตั้งรัฐสภาและระบบชนชั้น ประกอบกับกำลังพลแกล้วกล้า ทำให้เจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว หากยิ่งเพิ่มจำนวนประชากร โรมก็อาจขยายอิทธิพลกว้างออกมาจนใหญ่กว่าซาบีน กลายเป็นศัตรูที่น่ากลัวสำหรับพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าติตุส ตาติอุส จึงตรัสปฏิเสธคณะทูต คณะทูตเดินทางกลับกรุงโรมไปอย่างสงบ แต่พระเจ้าโรมูลุสทรงไม่ใช่คนที่จะยอมรับคำปฏิเสธจากใคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่ผู้คนอายุไม่ยืนยาว รวมถึงการตั้งครรภ์และคลอดบุตรเป็นเรื่องอันตราย ผู้หญิงคือทรัพยากรมนุษย์ล้ำค่าที่จะชี้เป็นชี้ตายความอยู่รอดของอารยธรรมไม่ให้จบสิ้นในหนึ่งชั่วอายุคน ยิ่งมีมากก็ยิ่งดี เพราะถ้ามีผู้ชายหนึ่งกับผู้หญิงสิบ ชนชาติยังสามารถสืบพันธุ์ขยายบ้านเมืองต่อไปได้ แต่ถ้ามีผู้ชายสิบกับผู้หญิงหนึ่ง ชนชาตินั้นก็ไร้อนาคต นี่คือสถานการณ์คับขันที่กรุงโรมกำลังเผชิญอยู่ ตัวพระเจ้าโรมูลุสเองก็ยังไม่ทรงมีพระมเหสีเช่นกัน กษัตริย์หนุ่มทรงใช้เวลาวางแผนการกับรัฐสภา และให้ชาวโรมันเฝ้ารอจังหวะที่เหมาะสม โอกาสของพวกเขามาถึงในเทศกาลบูชาเทพเจ้าวันที่ 18 สิงหาคม ณ สถานกรีฑาและแข่งรถม้า เซอร์คุส แม็กซิมุส (Circus Maximus) ซึ่งเป็นสเตเดียมแห่งแรกที่ชาวโรมันสร้างขึ้น พวกเขาจัดพิธีฉลองอย่างยิ่งใหญ่ และเชื้อเชิญผู้คนจากดินแดนข้างเคียงมาร่วมงาน เช่น ชาวเมืองแคนนินา (Caenina) ครุสตูเมริอุม (Crustumerium) อันเทมนาเอ (Antemnae) ปัจจุบันทั้งสามเมืองนี้อยู่ในเขตลาติอุม (Latium) ภาคตะวันตกของประเทศอิตาลี และแน่นอนที่สุด คนส่วนใหญ่ที่เชิญมาก็คือชาวซาบีน ระหว่างที่งานกำลังดำเนินไปอย่างน่าตื่นตาตื่นใจนั้นเอง ก็มีการให้สัญญาณเหล่าชาวโรมันที่เป็นชายฉกรรจ์ให้ชักดาบเข้าต่อสู้ ชิงบรรดาหญิงสาวพรหมจรรย์ต่างชาติมาจากพ่อแม่ ก่อนขับไล่พวกเขาออกไปจากกรุงโรมท่ามกลางเสียงสาปแช่ง ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ชื่อว่า เหตุลักพาตัวสตรีซาบีน (Sabinae raptae - The Rape of the Sabine Women) แม้ว่าจะมีผู้หญิงชาวเมืองอื่น ๆ ปะปนอยู่ด้วยก็ตาม เป็นที่สังเกตว่า คำว่า Rape/Raptio ในสมัยโรมัน ไม่ได้หมายถึงการข่มขืนในฐานะอาชญากรรมทางเพศอย่างที่เข้าใจกันในปัจจุบัน แต่หมายถึงการลักพาตัวที่ผู้ชายยึดผู้หญิงมาเป็นสมบัติของตน เช่นเป็นภรรยาหรือทาส โดยไม่ได้รับคำยินยอมยกให้จากเจ้าของ คือพ่อแม่หรือนายทาสดั้งเดิมของผู้หญิงคนนั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่แพร่หลายมาตั้งแต่สมัยกรีก หญิงสาวผู้น่าสงสารเหล่านั้นถูกพาตัวแยกไปตามบ้านของชาวโรมันที่มีชายโสดเพื่อแต่งงานแบบสุ่ม ยกเว้นบางคนที่สง่างามเป็นพิเศษ ก็มีทาสรับใช้ของชนชั้นสูงมาเจาะจงพาไปให้แต่งงานกับนายของตน หรือมอบให้แก่ชายหนุ่มที่ผู้คนยอมรับกันว่าเป็นคนดีเลิศ เนื่องจากพวกนางทุกคนล้วนถูกอุ้มไป จึงเป็นต้นกำเนิดของธรรมเนียมพิธีสมรสโรมันที่เจ้าบ่าวจะอุ้มเจ้าสาวเข้าบ้าน ปัจจุบันธรรมเนียมดังกล่าวยังมีอยู่ในหลายประเทศตะวันตก แม้ว่าบรรดาหญิงสาวจะเข้าอาศัยในบ้านใหม่และพบหน้าผู้ที่จะเป็นสามีเรียบร้อยแล้ว แต่พระเจ้าโรมูลุสมีพระราชโองการห้ามละเมิดพรหมจรรย์พวกนางในคืนของการลักพาตัว พระองค์มีพระราชดำริให้ชาวโรมันมีภรรยาก็จริง ทว่าไม่ใช่จะให้มารดาของชาติเป็นกลุ่มผู้หญิงที่จะต้องถูกล่ามโซ่บังคับไว้ให้ตั้งครรภ์และคลอดบุตร สิ่งที่เป็นพระประสงค์แท้จริง คือพวกนางจะต้องอยู่กับสามีและลูก ๆ หลาน ๆ ด้วยดี จึงทรงขอร้องพวกนางให้ยอมอภัยแก่ผู้ชายโรมัน ที่กระทำอุกอาจลงไปก็ด้วยอำนาจความรักความปรารถนา (Passions) ที่มีต่อพวกนางจนไม่อาจต้านทาน พร้อมยื่นข้อเสนอที่น่าสนใจ พระองค์ทรงรับรองว่า พวกนางจะเป็นภรรยาผู้มีเกียรติของชาวโรมัน ได้รับสิทธิ์ร่วมในทรัพย์สินของสามี ได้สิทธิ์พลเมืองโรมัน และลูก ๆ ของพวกนางจะเป็นเสรีชน ตรงจุดนี้ต้องเข้าใจว่า วิถีชีวิตผู้หญิงโรมันนั้น แม้จะเป็นสมบัติของผู้ชายเหมือนกับผู้หญิงส่วนใหญ่ในโลกโบราณ แต่ชาวโรมันมีธรรมเนียมการแต่งงานแบบผัวเดียวเมียเดียว (Monogamy) พวกนางจะเป็นนายหญิงของบ้านที่มีทาสรับใช้ คอยดูแลทรัพย์สิน ใช้อำนาจแทนสามีเวลาเขาไปสงคราม และไม่ทำงานบ้านใด ๆ ที่หนักเกินกว่าการปั่นด้ายกับทอผ้า หน้าที่ที่ถูกคาดหวังมากที่สุดของผู้หญิง คือ ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูลูกให้เป็นพลเมืองดี พวกนางจึงได้รับการศึกษาเพื่อจะได้สั่งสอนเด็ก ๆ ได้อย่างถูกต้อง หากว่าคู่สมรสล้มเหลวที่จะมีลูกไม่ถือเป็นความบกพร่องของภรรยา ทั้งสองอาจหย่ากันด้วยเหตุผลนี้ได้ แต่สามีจะต้องคืนสินเดิม (Dowry) ให้ภรรยาไปเพื่อที่นางจะแต่งงานใหม่ด้วย ผู้หญิงที่สามีตายแล้วก็มักแต่งงานใหม่เช่นกัน นอกจากนี้ ผู้หญิงโรมันสามารถไปชมกีฬา ชมละคร เข้าโรงอาบน้ำ และสำราญกับสิ่งอื่น ๆ ในวัฒนธรรมโรมัน เราไม่มีหลักฐานที่บอกให้ทราบชัดเจนว่า ผู้หญิงซาบีนเดิมใช้ชีวิตอย่างไร หรือมีสิทธิหน้าที่อะไรบ้าง แต่คงจะด้อยกว่านี้ เพราะพวกนางตอบรับข้อเสนอ และส่วนใหญ่ก็พึงพอใจกับชีวิตในกรุงโรมภายในระยะเวลาไม่นาน พระเจ้าโรมูลุสยังทรงโน้มน้าวว่า “บาดแผลมักนำไปสู่การเยียวยาและความรัก” ผู้ชายโรมันจะเป็นสามีที่ดี และรักใคร่ดูแลพวกนางมากเสียยิ่งกว่าปกติ เพื่อชดเชยความรู้สึกที่พวกนางถูกพรากจากพ่อแม่และแผ่นดินเกิดอย่างสุดความสามารถ อย่างไรก็ดี ในบรรดาหญิงสาวที่ลักพามาทั้งหมด ปรากฏว่ามีอยู่คนหนึ่งไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ นั่นก็คือ เฮอร์ซีเลีย (Hersilia) นางถูกชาวโรมันอุ้มพามาด้วยอย่างผิดพลาด บ้างก็ว่าเพราะนางพยายามปกป้องลูกสาวของตน ชื่อ พริมา (Prima) จึงเกาะติดกับลูกไม่ยอมหนีไป พระเจ้าโรมูลุสพอพระทัยในตัวเฮอร์ซีเลียอย่างยิ่ง จึงทรงอภิเษกสมรสกับนาง ไม่มีบันทึกว่าสามีเดิมของเฮอร์ซีเลียคือใครหรือเกิดอะไรขึ้นกับเขา พระนางเฮอร์ซีเลียทรงเป็นตัวกลางสำคัญระหว่างผู้หญิงที่ถูกลักพาตัวมากับสามีโรมัน พระนางทรงคอยช่วยแก้ปัญหาครอบครัว วางขนบพิธีสมรสโรมันโดยใช้พิธีสมรสของพริมาเป็นต้นแบบ และเป็นผู้สนับสนุนอุดมคติเกี่ยวกับสัมพันธไมตรีหรือความร่วมใจ (Concordia - Joining of Hearts) ของคนต่างชนชาติผ่านการแต่งงาน ว่าเป็นวิธีที่ประเสริฐกว่าการทำสงครามเข้าครอบครองดินแดน ถือว่าพระนางทรงปรับตัวเข้ากับสายพระเนตรอันยาวไกลของพระสวามีได้อย่างยอดเยี่ยม แต่วิสัยทัศน์อุดมคติดังกล่าวคงไม่มีใครนอกกรุงโรมจะคล้อยตามกันง่าย ๆ ชาวเมืองแคนนินา ครุสตูเมริอุม และอันเทมนาเอ เร่งยกทัพมาทำสงครามกับกรุงโรมเพื่อทวงลูกสาวกลับคืน ทว่าก็พ่ายแพ้แก่ชาวโรมันอย่างรวดเร็ว มีการจัดตั้งเขตอาณานิคมขึ้นในเมืองเหล่านั้นเพื่อปกครอง บรรดาหญิงสาวเป็นห่วงพ่อแม่ของตนและไปเข้าเฝ้าพระนางเฮอร์ซีเลีย พระนางจึงทรงขอร้องให้พระสวามีพระราชทานอภัยโทษแก่พ่อแม่ของพวกนาง และให้สิทธิ์พวกเขาเป็นพลเมืองโรมัน เพื่อที่อาณาจักรจะได้เติบโตทั้งด้วยจำนวนประชากรและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว พระเจ้าโรมูลุสก็พระราชทานพระราชานุญาตตามนั้น กองทัพซาบีนของพระเจ้าติตุส ตาติอุส ยกพลมาเป็นกลุ่มสุดท้ายหลังจากเตรียมการเป็นระยะเวลานาน ทหารซาบีนใช้กลยุทธ์อันหลักแหลมต่าง ๆ อาทิ ติดสินบนลูกสาวผู้บัญชาการชาวโรมัน จนสามารถยึดป้อมปราการใหญ่และบุกผ่านประตูเข้ามาถึงจัตุรัสเมือง (Forum) ทัพหน้าของโรมันถูกตีแตก แม้แต่พระเจ้าโรมูลุสก็ทรงถูกคลื่นฝูงชนที่วิ่งหนีตายเข้ามาในเมืองเบียดดันจนไม่สามารถรักษาแนวรบของทัพหลวง ทำให้ทหารโรมันแตกตื่นอย่างมาก ในชั่วขณะที่เพลี่ยงพล้ำนั้นเอง พระเจ้าโรมูลุสทรงยกพระหัตถ์ขึ้นอธิษฐานต่อเทพเจ้า และด้วยพระกิริยาราวกับว่าทรงได้ยินสวรรค์ตอบรับ เปล่งพระสุรเสียงเรียกผู้คนก่อนจะเสด็จลุยตรงไปยังแนวหน้า “กลับมาเถิด ชาวโรมัน! มหาเทพจูปิเตอร์ (Jupiter Optimus Maximus) บัญชาให้พวกเจ้าลุกขึ้นและเริ่มต้นสมรภูมิใหม่อีกครั้ง” ไม่ว่าจะด้วยอำนาจของเทพเจ้าหรือจิตวิทยาก็ตาม ทหารโรมันเกิดความฮึกเหิมและติดตามพระองค์ไป พวกเขารุกไล่แม่ทัพซาบีนจนอีกฝ่ายม้าเตลิด วิ่งไปจมลงในบริเวณที่เป็นโคลนตม ทำให้ทหารซาบีนตกใจละจากการต่อสู้เพื่อจะช่วยเหลือ แม่ทัพซาบีนนำตัวพ้นออกมาจากโคลนได้ในที่สุด แต่กองทัพโรมันก็พลิกมาเป็นฝ่ายได้เปรียบแล้ว ทั้งสองฝ่ายคงจะเข่นฆ่ากันต่อไปจนกว่าจะรู้ดำรู้แดง หากไม่ใช่เพราะยามนั้น เหล่าสตรีซาบีนผู้เป็นเหยื่อความโหดร้ายมาตั้งแต่ต้นร่วมใจกันเข้าขัดขวางการรบ พวกนางวิงวอนต่อพ่อในกองทัพหนึ่ง และต่อสามีในอีกกองทัพหนึ่ง ว่าพวกนางซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์ต้องถูกคร่าจากพ่อแม่มาหนหนึ่งแล้ว อย่าให้ต้องถูกคร่าจากสามีและลูก ๆ อีกเลย ไม่ว่าใครตายพวกนางก็จะตกทุกข์ซ้ำสอง ยิ่งไปกว่านั้น การสังหารญาติวงศ์ตนเองเช่นระหว่างพ่อตาและเขย (Parricide) ก็เป็นบาปมหันต์ที่จะทำให้เทพเจ้าสาปแช่ง ผู้หญิงบางกลุ่มสวมชุดไว้ทุกข์ ปล่อยผมกระเซิง อุ้มลูกออกมาเพื่อขอให้สงสารเด็กที่จะต้องกำพร้าพ่อหรือตา บางกลุ่มก็ขอให้ผู้ชายฆ่าพวกนางเสียแทนเพื่อกำจัดมูลเหตุสงคราม การยื่นคำร้องอย่างกล้าหาญ ‘ผิดธรรมดาของเพศหญิง’ กลางสมรภูมิในครั้งนี้สะเทือนใจผู้ชายเป็นอันมาก การต่อสู้จึงยุติ ชาวโรมันกับชาวซาบีนจัดประชุมกัน และพวกผู้หญิงก็นำอาหารเครื่องดื่มออกมาให้แก่พวกเขา รักษาทหารที่บาดเจ็บ พร้อมกับแนะนำพ่อแม่ สามี และลูก ๆ ให้ได้รู้จักกัน ทำให้ความรู้สึกเป็นศัตรูระหว่างชาวโรมันกับชาวซาบีนบรรเทาเบาบางลง กษัตริย์และกองผู้บัญชาการของทั้งสองฝ่ายตกลงทำสนธิสัญญาสงบศึก และรวมสองรัฐเข้าเป็นดินแดนเดียวกัน พระเจ้าติตุส ตาติอุส ทรงได้เป็นผู้ปกครองร่วมกับพระเจ้าโรมูลุส จึงโปรดให้เรียกพลเมืองร่วมที่มีความหลากหลายทางเชื้อชาตินี้ว่า ชาวควีริเตส (Quirites) ตามชื่อเทพควีรินุส (Quirinus) เทพเจ้าของชาวซาบีน ด้านพระเจ้าโรมูลุสโปรดให้เรียกชื่อรัฐร่วมนี้ว่ากรุงโรมเหมือนเดิม นับเป็นการพบกันครึ่งทางของสองกษัตริย์ รัฐร่วมตามสนธิสัญญาดำรงอยู่อย่างมั่นคงเป็นระยะเวลา 5 ปี มีการทำสงครามขยายอาณาเขตและก่อสร้างสถานที่สำคัญ ๆ ขึ้นมากมาย จนกระทั่งในปีที่ 6 เกิดปัญหาระหว่างพระญาติของพระเจ้าติตุส ตาติอุส กับคณะทูตจากเมืองข้างเคียง และพระเจ้าติตุส ตาติอุส ทรงเข้าข้างพระญาติ ทำให้ทรงถูกปลงพระชนม์ในการจลาจล พระเจ้าโรมูลุสจึงทรงเป็นกษัตริย์หนึ่งเดียวของกรุงโรมอีกครั้ง พระองค์ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 37 ปี หลังพระเจ้าโรมูลุสเสด็จสวรรคต เกิดความสับสนและช่องว่างอำนาจในกรุงโรม ส่งผลให้สมาชิกรัฐสภาต้องผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้บริหารราชการแผ่นดินทุก ๆ 5 วันเป็นเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันการถือวิสาสะยึดอำนาจถาวรของใครคนใดคนหนึ่ง สุดท้าย ผู้คนก็ตกลงเลือกกษัตริย์องค์ใหม่ คือ พระเจ้านูมา ปอมปิลิอุส (Numa Pompilius) ขึ้นสู่บัลลังก์เมื่อ 715 ปีก่อนคริสตกาล พระเจ้านูมา ปอมปิลิอุส ทรงเป็นชาวซาบีน และทรงเคยเป็นพระสวามีของเจ้าหญิงตาเตีย (Tatia) พระธิดาของพระเจ้าติตุส ตาติอุส ก่อนหน้าที่เจ้าหญิงจะด่วนสิ้นพระชนม์ พระองค์ได้รับยกย่องในฐานะกษัตริย์ผู้รักสงบ สมถะถ่อมตน เป็นนักคิด และมีศรัทธาต่อเทพเจ้า เรื่องราวของสตรีซาบีนในฐานะมารดาแห่งชาติโรมัน แสดงให้เห็นถึงการผสมผสานความหลากหลายทางเชื้อชาติ ทั้งในระดับราชวงศ์และประชาชน รวมไปถึงการต่อรองสร้างสมดุลอำนาจระหว่างคนต่างเมือง และระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง วิธีการของพระเจ้าโรมูลุสในการโน้มน้าวสตรีซาบีนให้ใช้ชีวิตอยู่ในกรุงโรม โดยเสนอผลประโยชน์ทางสิทธิ์พลเมืองที่สูงกว่า สภาพบ้านเมืองที่ดีกว่า อีกทั้งพยายามปรับอารมณ์ความรู้สึกของพวกนาง และรับฟังความต้องการผ่านพระนางเฮอร์ซีเลีย ยังเป็นตัวอย่างวิธีการที่ประเทศสามารถใช้ดึงดูดทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกชาติทุกสมัยต่างมุ่งหวังเพื่อความเจริญของสังคมด้วยกันทั้งสิ้น สตรีซาบีนเริ่มต้นจากภาวะเหยื่อผู้ไม่สามารถกำหนดชะตาชีวิตส่วนตัวได้ เนื่องจากการใช้ความรุนแรงของผู้ชาย แต่พวกนางก็ได้เปลี่ยนมาเป็นผู้กำหนดชะตาของรัฐส่วนรวม ด้วยการสยบความรุนแรงของผู้ชายสำเร็จในท้ายที่สุด บทบาทของผู้หญิงในการสถาปนากรุงโรมจึงเป็นตัวกลางหรือ ‘ทูต’ ประสานสัมพันธ์ โดยทำให้กลุ่มคนหรือรัฐที่ขัดแย้งกันสาหัสสามารถรวมเข้าเป็นครอบครัวและหาทางออกด้านสันติภาพ การแต่งงานเชื่อมสัมพันธไมตรี ร่วมถือครองพื้นที่ ทรัพย์สิน สิทธิ์พลเมือง และดูแลสั่งสอนคนรุ่นถัดไป จะเป็นบทบาทที่ผู้หญิงโรมันรวมถึงผู้หญิงทั่วโลกกระทำกันไปอีกหลายพันปี ขอบคุณภาพประกอบจาก Pixabay.com รูปที่ 1 Matthias_Lemm รูปที่ 2 Jack78 รูปที่ 3 LeeTravathan รูปที่ 4 falco Free for commercial useบรรณานุกรมBalsdon, J. P. V. D. (1998). Roman women: Their history and habits. New York: Barnes & Noble.Garcia, B. (2021, April 07). Romulus and Remus. Retrieved April 10, 2021, from https://www.ancient.eu/Romulus_and_Remus/Hays, J. (2018, October). Early Romans Battle and Unite with the Sabines and Etruscans. Retrieved April 04, 2021, from http://factsanddetails.com/world/cat56/sub407/entry-6244.html Horleman, K., Marsilio, M., Raia, A. R., & Sebesta, J. L. (2013, May).Titus Livius, Ab Urbe Condita I.11.1-2: Hersilia. Retrieved April 11, 2021, from https://feminaeromanae.org/Livy_Hersilia.htmlLivy. (n.d.). History of Rome. English Translation by. Rev. Canon Roberts. New York, New York. E. P. Dutton and Co. 1912. 1. Retrieved April 04, 2021, from http://www.perseus.tufts.edu/hopper/text?doc=Perseus:text:1999.02.002 6:book=1Plutarch. (2018, August 15). The Parallel Lives: The Life of Romulus, published in Vol. I of the Loeb Classical Library edition, 1914. Retrieved April 04, 2021, from https://penelope.uchicago.edu/Thayer/E/Roman/Texts/Plutarch/Lives/Ro mulus*.html