เวลาฉันถ่ายรูป ฉันชอบคิดว่า ‘ภาพนั้นจะเล่าเรื่องอะไร’ ฉันอยากให้ภาพของฉันสื่อเรื่องราวด้วยตัวของภาพเอง บางครั้งฉันก็สนุกกับการแอบซ่อนความหมายบางอย่างไว้ในภาพ ปล่อยให้ฅนมองภาพได้จินตนาการไปกับภาพถ่าย แต่ก็ใช่ว่าภาพนั้นจะเล่าเรื่องได้ด้วยตัวภาพเอง บางครั้งมันก็ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสนับสนุนเนื้อหา และเมื่อภาพถ่ายกลายเป็นตัวเอกของการเล่าเรื่องมันจึงน่าสนใจเพิ่มมากยิ่งขึ้นไปอีก นิทรรศการหนังสือย่อมๆ นี้มาเปิดในใจกลางเมืองกรุงเทพมหานครย่านสุขุมวิท จึงเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของเราจะได้เรียนรู้การสื่อสารด้วยภาพถ่ายนั่นเอง คุณกิตติพล สรัคคานนท์ แห่งร้าน Books & Belonging พาฉันเข้ามาชมหนังสือภาพถ่ายที่รวบรวมโดยทีมงานผู้จัดกิจกรรม The reading room #3 ‘Photo-Fiction’ หนังสือแต่ละเล่มมีความเฉพาะมากจนฉันสนใจ บางเล่มใช้ภาพเบลอเล่าเรื่องด้วยวิธีการที่ฉันไม่เคยเห็น บางเล่มใช้ภาพถ่ายเป็นตัวแทนของความทรงจำที่ตราตรึงใจ บางเล่มใช้ภาพถ่ายสะท้อนมุมมองของผู้ฅน อารมณ์ ความรู้สึก และภาพถ่ายเหล่านั้นยังสามารถบอกเล่าความอัดอั้น ความทุกข์ยาก การระบายต่อการถูกขี่ได้อย่างมีวัตถุพยานที่จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ได้อย่างมีหลักฐานชัดแจ้ง หนังสือบนชั้นก็มีน่าสนใจหลายเล่ม และชั้นนี้ก็เป็นของช่างภาพนักเล่าเรื่อง ซึ่งขอนำเสนอเป็นตัวอย่างสัก ๒ เล่มดังนี้ เล่มแรกคือหนังสือ Photographers’ Sketchbooks ที่ชี้ชวนให้เราได้มองเข้าไปถึงภาพถ่ายนั้นไม่ได้แตกต่างกับสมุดบันทึกเหตุการณ์ที่เราได้พบเจอ และสามารถเล่าเรื่องได้อย่างมีนัยความหมายที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่เราเห็นอยู่ได้อย่างสร้างสรรค์ด้วยการเติมเรื่องราวที่สะท้อนมุมมองต่างๆ ของผู้ถ่ายภาพ การคิดเชื่อมโยงความคิด จินตนาการ กับภาพจริงที่เห็น ทำให้เราได้เรียนรู้ถึงการเล่าเรื่องด้วยภาพที่สามารถสื่อสารให้เข้าใจได้ด้วยตาที่เป็นภาษาสากลที่ใครๆ ก็เข้าใจได้กันทุกฅน อีกหน้าที่ฉันติดใจก็คือ การใช้ภาพสื่อถึงอารมณ์ และใช้ตัวหนังสือเป็นส่วนประกอบเท่านั้น อีกเล่มคือหนังสือของช่างภาพ Stephen Shore ที่เสมือนเป็นผู้บุกเบิกงานหนังสือประเภทนี้ กับการใช้ภาพถ่ายที่มีฉากและสิ่งของซ้ำ ๆ ในที่ต่างๆการใช้สีในการถ่ายภาพที่มีโทนแบบงานศิลปะของเขา เป็นการเล่าเรื่องที่มีเอกลักษณ์ ตัวอย่างภาพของ สตีเฟ่น ชอร์ ในหนังสือเล่มนี้ อีกตัวอย่างก็คือ หนังสือภาพที่เล่าเรื่องแบบวรรณกรรม อารมณ์ความเหงาของภาพเด่นชัดจนไม่ต้องมีคำบรรยายด้วยตัวหนังสือใดๆ เลย วรรณกรรมก็ใช้ภาพถ่ายเป็นส่วนผสมของเรื่องราว หนังสือภาพของผู้กำกับภาพยนตร์ Chris Marker เรื่อง La Jetée ที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ภาพถ่ายแทนภาพเคลื่อนไหวบอกเล่าเรื่องราวของการทดลองสงครามหลังสงครามนิวเคลียร์ในการเดินทางข้ามเวลา แค่ได้ฟังก็อยากจะดูแล้ว และในไม่นานนี้ก็จะมีการจัดกิจกรรมตั้งวงดูหนังพูดคุยกันกับภาพยนตร์เรื่องนี้ที่นี่ ตัวอย่างภาพในหนังสือเล่มนี้ หนังสือของช่างภาพชาวญี่ปุ่นที่เต็มไปด้วยแบบคิด มีคอนเซ็ปท์ ใช้ภาพในการเล่าเรื่องอย่างมีนัยยะแฝงความหมายไว้ตลอด หนังสือเล่มนี้เป็นของช่างภาพชาวไทย ที่นำเสนอภาพของสวนสัตว์พาต้าปิ่นเกล้า ที่มีความทรงจำของเขาในวัยเด็กอยู่ แต่ละภาพบอกเราถึงยุคสมัยหนึ่งที่เรามีสวนสัตว์ในห้างสรรพสินค้าที่เด็กๆ ทุกฅนอยากมาในสมัยนั้น หนังสือเล่มสุดท้าย แต่เป็นเล่มแรกที่ฉันหยิบขึ้นมาดู เป็นของช่างภาพที่นำเสนอความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างน่าสนใจ ใครสนใจสามารถมาที่ร้าน Books & Belonging ทุกวัน จัดแสดงไปจนถึง ๒๐ ธันวาคมนี้ สามารถเข้ามาดูและมาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับทีมงานที่อยู่ในร้านได้ หรือถ้าสนใจร่วมกิจกรรมย่อยของงานนี้ก็สามารถดูรายเลียดเพิ่มเติมได้ที่ Facebook ของทางร้าน (https://www.facebook.com/booksandbelongings) ที่จะมีการอัพเดทเรื่อยๆ เมื่อมีกิจกรรม (รอกันหน่อยเนื่องจากกิจกรรมส่วนใหญ่เป็นกิจกรรมเล็กๆ ที่จัดขึ้นแบบเฉพาะกลุ่ม แต่ก็เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมได้เช่นกัน) มีทั้งวงคุย วงเสวนา หรือฉายภาพยนตร์ (นี่ฉันก็รอดูภาพยนตร์ของหนังสือเล่มนั้นอยู่เหมือนกัน) ร้านอยู่ปากซอยสุขุมวิท ๙๑ ใกล้ๆ กับสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสบางจาก Photo-Fiction เป็นศัพท์บัญญัติใหม่โดยนักปรัชญาฝรั่งเศส François Laruelle ที่หมายถึงระบบคิดที่เขาถอดแบบมาจากอุปกรณ์กลไกถ่ายภาพ (ซึ่งเรียกว่า กล้องถ่ายภาพในจินตกรรม) เพื่อปรับเปลี่ยนมุมมองที่เรามีเกี่ยวกับโลกใบนี้; https://www.facebook.com/booksandbelongings/photos/a.812556635444964/3540657142634886/?type=3