เที่ยวเบตงโอเคไหม...โอเคมาก วันนี้ก็จะนำเรื่องราวของทริปเบตง 3 วัน 2 คืน (2/12/2563 - 4/12/2563) เมื่อหน้าฝนปีที่แล้วมาฝาก หน้าฝนที่จดจำอยู่ในความทรงจำตลอดไป "ทำไมเราไม่นอนให้สบายบนเตียงนอนใต้ผ้าห่มอุ่นๆ?" ทำไมเราถึงเลือกที่จะออกไป ผจญภัยภายนอกแทนที่จะอยู่ใต้ร่มเงาของความสบายแบบคนอื่น ๆ จะเผยคำตอบให้ได้รู้… ช่วงหน้าฝนใครว่าออกเดินทางไม่สนุก มันโคตรจะสนุกและพบเจอธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์และสมบูรณ์แบบ ได้ออกไปค้นหาชีวิต ความท้าทาย ได้พบเจอกับสิ่งใหม่ ๆ และบันทึกไว้เป็นความทรงจำความทรงจำครั้งนี้นั้นไม่อาจลบเลือน ไม่คิดจะลืมเลือน และจะจดจำ จดบันทึกใส่ความทรงจำตลอดไป ทริปครั้งนี้ที่อยากจะแนะนำคือ ชมวิวทิวทัศน์และหมอกยามเช้าที่ทะเลหมอกสกายวอร์คอัยเวง ชมธรรมชาติที่สวยงามความเขียวขจีของพื้นป่าที่สะพานข้ามทะเลสาบป่าฮาลา - บาลา ชมความสวยงามและเด่นสง่าที่น้ำตกเฉลิมพระเกียรติร 9 แค่เพียงปลายเม็ดฝนที่เฉียดโดนผิวหน้าก็ทำให้ขนลุกซู่ แต่ก็ใจไม่ได้ห่อเหี่ยวอย่างใด จิตใจยังมุ่งตรงไปยังจุดหมาย แม้ฟ้าฝนจะไม่เป็นใจ มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร มันทำให้มีความท้าทายเพิ่มขึ้นมากกว่า 07:07 น. รอรถตู้อยู่นานสองนาน จากที่ตื่นมาเตรียมตัวตั้งแต่ตีห้า ด้วยสภาพฝนฟ้าอากาศทำให้รถค่อนข้างน้อย รอมานาน สุดท้ายโชคก็เข้าข้าง ได้ขึ้นรถตู้ จากสงขลามาหาดใหญ่ เวลา 07:50 น. ค่าโดยสารคนละ 34 บาท 8:50 มาถึงสถานีรถไฟหาดใหญ่ รถตู้มาส่งไว้หน้ากิมหยงเราจึงต่อรถตุ๊กตุ๊กมาสถานีหาดใหญ่อีก 15 บาท เข้าไปในสถานีรถไฟ เจ้าหน้าที่ก็แจ้งว่ารถไฟใกล้จะออกแล้ว เลยต้องเร่งฝีเท้าไปซื้อตั๋วแล้วรีบวิ่งไปขึ้นรถไฟ ทั้งที่เป็นความเร่งรีบแต่ทำไม.. " เริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมานะ " เมื่อขึ้นรถไฟก็เดินผ่านไปสามโบเก้จนมาถึงโบเก้สุดท้ายที่มีที่ว่างให้พวกเราได้จับจองกันอย่างสบาย การนั่งรถไฟครั้งนี้รู้สึกดีมากเพราะไม่แออัดและบรรยากาศที่หลังจากฝนตกนั้นเย็นสบายจริง ๆ และค่าตั๋วรถไฟ หาดใหญ่-ยะลาเพียง 23 บาทเอง เมื่อนั่งมองสองริมทางที่รถไฟวิ่งผ่าน มีเพียงความสบายใจที่ผุดขึ้นมา ไร้ความกังวลที่เคยกักเก็บไว้ กลิ่นอายดินหลังฝนตกตลบอบอวลสองข้างทาง ทุ่งนาเขียวขจี ไอหมอกขาวลอยตัวต่ำ ต้นไม้ บ้านเรือน และผู้คน กำลังเป็นไป "คล้ายกับว่าเราอยู่บนรถไฟเหนือกาลเวลาเฝ้ามองดูสองข้างทางที่กำลังหมุนเวียนไป " เมื่อสบายใจ ร่างกายก็ต้องการสบายตัว ตั้งแต่เช้ายังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลยสักอย่าง คิดปุ๊บของกินก็มาปั๊ปมาพร้อมกับเสียงแม่ค้าใจดี ไก่ย่างและข้าวเหนียว ที่อร่อยกว่าทุกที่ที่เคยกินเพราะบรรยากาศตอนนี้มันดีจริง ๆ อิ่มท้องใน 30 บาท และน้ำ 10 บาท หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนทันที เป็นการเดินทางที่สบายจริง ๆ คิดได้แบบนั้นก็ เปิดเพลง life goes on ของ BTS ฟังเพลงไปมองวิวสองริมทางไปจนเผลอหลับบนรถไฟที่กำลังวิ่งไปยังจุดมุ่งหมาย 13:15 น. ตื่นขึ้นมาอีกทีก็มาอยู่ที่สถานีรถไฟยะลา จึงรีบหยิบกระเป๋าสะพายเดินลงจากรถไฟ ผู้คนมากหน้าหลายตากำลังเดินผ่านไปมา เราออกจากสถานีมายืนปรึกษาถึงการเดินทางไปเบตง ก็ได้คุณน้าขับตุ๊กตุ๊กใจดีมาช่วยแนะนำ ตอนแรกเราคิดกันว่าจะเช้ารถมอเตอร์ไซค์จากยะลาขับไปเบตง แต่ไม่คาดคิดว่าที่ยะลาจะไม่มีบริการเช่ารถ ทำให้มีสองตัวเลือกคือนั่งรถตู้หรือแท็กซี่ ฟังจากคำแนะนำคุณน้าแล้วเราจึงเลือกไปรถตู้กัน เราจึงขึ้นรถตุ๊กตุ๊กของคุณน้าไปคิดรถตู้ยะลา-เบตง ค่ารถตุ๊กตุ๊กคนละ 20 บาท เมื่อไปถึงคิวรถตู้ เราก็ไปซื้อตั๋วรถกันคนละ 140 บาท และซื้อกาแฟกิน 20 บาทเพราะรู้สึกง่วงหน่อยๆ 12:00 น. รถออกจากยะลามุ่งสู่เบตง ก่อนจะมาเพื่อนที่บ้านอยู่เบตงและเป็นไกด์ในทริปนี้นั้นก็บอกว่ามาเบตงระวังเมาโค้ง ตอนแรกก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะส่วนตัวเป็นคนไม่เมารถ แต่เมื่อนั่งรถตู้เข้าสู่เส้นทางเบตง โค้งแรกไม่เป็นไร โค้งต่อไปเริ่มมึนๆ จนตัวหลับตานอน นั่งไปเรื่อย ๆ อาการเริ่มออก กว่าจะถึงเบตงก็เล่นสะเพลียเลย โชคดีที่ไม่ได้กินอะไรเข้าไปเยอะไม่งั้นคงมีท้องไส้ปั่นป่วนอ้วกกันบ้างแหละ 14 : 35 น. มาถึงบ้านของเพื่อนซึ่งเป็นที่พักของพวกเราในทริปนี้ นั้นหมายความว่าเราประหยัดค่าที่พักไปด้วย ช่างโชคดีจริง ๆ มานั่งพักให้หายมึนสักนิดแล้วเราก็ออกไปเช่ารถสำหรับเป็นยานพาหนะในการพาเราไปในที่ต่าง ๆ อย่างสะดวก ค่าเช่ารถ 1 คัน 1 วัน 300 บาท พวกเราเช่า 2 วัน เป็น 600 บาท หาร 3 เพราะเพื่อนที่เป็นเจ้าถิ่นนั้นได้ช่วยเรื่องที่พักและช่วยเอารถของตัวเองที่บ้านมาให้ใช้ด้วย เราจึงหารกันสามคน ตกคนละ 200 บาท เมื่อได้รถแล้วก่อนจะทำอะไรต่อไปเราต้องเติมพลังเสียก่อน จึงไปกินข้าวตามสั่งกันที่ร้านประจำของเพื่อน เราสั่งผัดซีอิ๊ว ราคาเพียง 45 บาทเองถือว่าราคาถูกและอร่อยอีกด้วย หลังจากกินข้าวอะไรกันเรียบร้อยฝนก็ตกลงมา นี้มันช่วงพายุเข้าไม่ให้ฝนมีซีนบ้างก็กระไรอยู่ พวกเราจึงพากันกลับที่พักก่อนรอให้ฝนหยุด ถือว่าเป็นการพักหลังจากเดินทางมาไกล ๆ จากความเพลียในการนั่งรถและเมาโค้งเราจึงงีบหลับไป 19 : 00 น. ฝนหยุดตกแล้วพวกเราจึงพากันไปขับรถเที่ยวในเมืองกัน ทั้งเมืองถูกประดับตกแต่งด้วยแสงไฟสีสันสวยงาม แสงไฟที่สะท้อนกับร่องรอยของฝนที่ตกไปก่อนหน้านี้บนพื้นถนนนั้นสวยจับใจยิ่ง เสียงรถผ่านไปผ่านมาไม่เยอะไปจนวุ่นวายไม่น้อยไปจนเหงาใจ บรรยากาศที่ต้อนรับการมาของเรานั้นน่าพอใจทีเดียว เมื่อขับรถชมเมืองยามค่ำคืนกันพอใจแล้วก็หยุดถ่ายรูปเป็นความทรงจำกันที่ อุโมงค์เบตงมงคลฤทธิ์ แลนด์มาร์คสำคัญแห่งหนึ่งในเมืองเบตงที่ใครมาเบตงจะต้องไม่พลาด อยู่ไม่ไกลจากหอนาฬิกาและตู้ไปรษณีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ที่ทำจากคอนกรีต ด้านบนของอุโมงค์เป็นอาคารที่จัดแสดงประวัติของเมืองเบตง อุโมงค์แห่งนี้ถูกประดับตกแต่งด้วยโคมไฟและดวงไฟหลายสีสันจำนวนมาก และยามราตรีแบบนี้ก็ยิ่งสวยงามอย่างยิ่ง เราใช้เวลาพอสมควรกับการถ่ายรูปที่อุโมงค์แห่งนี้ หลังจากนั้นประมาณ 2 ทุ่ม วัยรุ่นอย่างเราก็ต้องหาร้านนั่งชิลนั่งกันหน่อย ซึ่งร้านนั่งชิลนั่งเล่นในเบตงมีค่อนข้างเยอะเลยทีเดียวเราเลยมาลงที่ร้านนี้ ร้าน WESTERN FOOD เป็นร้านเบอร์เกอร์ สเต๊ก และเครื่องดื่มอะไรทำนองนั้น บรรยากาศในร้านได้กลิ่นยุคคลาสสิกเบา ๆ และเมนูที่นี่ราคาก็ไม่แพงเราเลือก เบอร์เกอร์ปลา และชาเขียวเย็นหวานน้อย ราคาเบอร์เกอร์ทั่วไปไม่พิเศษ ราคา 35 บาท น้ำแบบเย็นไม่ปั่น 20 บาท 21 : 45 น. ได้เวลาผ่อนคลาย ช่วงฝนตกอากาศที่เบตงค่อนข้างหนาวแล้วบรรยากาศแบบนี้ถ้าได้แช่น้ำร้อนคงสบายน่าดู เราไม่เสียเวลาคิดไปเอง หยิบอุปกรณ์อาบน้ำไปอาบน้ำร้อนที่บ่อน้ำพุร้อนเบตง เสียดายที่กินอิ่มเสียแล้วไม่งั้นคงได้กินไข่ต้มกันอีกแน่ ๆ ลองนึกภาพถึงยามฝนโปรยปรายเบา ๆ บ่อน้ำพุที่อยู่ใต้ฟ้ากว้างกลางแจ้ง ความเงียบสงัดที่มีเพียงเสียงน้ำไหล ไออุ่นน้ำร้อนที่ลอยตัวอยู่เหนือผิวน้ำรอบ ๆ ความเครียดที่กำลังถูกชะล้าง ร่างกายกำลังถูกบำบัด หัวใจที่ใช้มาทั้งปีกำลังถูกเยียวยา ความผ่อนคลายกำลังคืบคลานเข้ามายึดพื้นที่ คืนนี้เป็นคืนที่หลับสบายหลังจากธาราบำบัดครั้งนี้ เมื่อถึงที่พักร่างกายก็เข้าสู่ห้วงนิทราเปลือกตาปิดสนิท หลับใหลในเมืองเบตง 4:30 น. เสียงนาฬิกาปลุกของวันที่สองปลุกให้เราตื่นไปอาบน้ำคนแรกแน่นอนว่าช่วงเวลานี้เราต้องพึ่งน้ำอุ่นอย่างแน่นอน ถ้าอาบน้ำอุณหภูมิปกติตอนนี้ซึ่งเบตงที่หนาวอยู่แล้วบวกกับหน้าฝนมันคงจะหนาวเข้ากระดูกแน่นอน ช่างโชคดีจริง ๆ ที่ยุคนี้มีเครื่องทำน้ำอุ่น 5:22 น. เมื่อทุกคนพร้อมก็ออกเดินทางสู่ทะเลหมอกอัยเวง ท้องฟ้ายังมืดสนิทขณะที่ขับรถออกจากตัวเมือง เมื่อออกจากตัวเมืองมาสักพักท้องฟ้าเริ่มสว่าง ทำให้มองเห็นวิวสองข้างทางชัดขึ้นมันแตกต่างจากเมื่อวานที่นั่งในรถตู้แล้วรู้สึกมึนหัวเมื่อนั่งรถมอเตอร์ไซค์ความรู้สึกต่างไปอีกแบบ ลมหนาวเย็นที่ปะทะเข้าใบหน้าความสูงของรถที่เริ่มไต่ขึ้นเขา หมอกที่ลอยต่ำอยู่เหนือภูเขาราวกับหมอกเหล่านั้นคือลมหายใจของภูเขา วิวภูเขาตลอดสองข้างทางนั้นช่างงดงามเกินจะบรรยาย ยิ่งสว่างยิ่งขึ้นสูงยิ่งมองเห็นหมอก สีเขียวของภูเขาในยามเช้า กับสีขาวของหมอกที่ลอยเล่นลมอยู่นั้น มันทำให้เช้าวันนี้สดชื่นและสุขใจ ทำเอาเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่รู้ตัว พลางตอกย้ำในใจกับตัวเองว่าการตัดสินใจมาเบตงในครั้งนี้ มาพบเจอบรรยากาศที่สุขสงบสดชื่นแบบนี้ช่างเป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุด เพียงครึ่งทางของทริปนี้ก็รู้สึกคุ้มสุด ๆ แล้ว 6:10 น. เมื่อขับรถมาสูงจนถึงจุดพักรถที่ต้องลงเดินหรือเช่ารถขึ้นไปยังสกายวอร์คอัยเวง เราทั้งสี่เลือกที่จะเดินรับลมชมวิวเอาบรรยากาศกัน เดินขึ้นไปไม่ไกลเท่าไหร่เราก็มาถึงจุดชมวิวทะเลหมอกสกายวอร์คอัยเวงนั้นเอง เราต้องถอดรองเท้าหรือเช่าบริการถุงรองเท้าแล้วหยิบบัตรคิวขึ้นไปบนสกายวอร์ค เดินบันไดขึ้นไปก็เป็นทางเดินยาวให้ไปรับชมวิวภูเขา และทะเลหมอก มีหลายจุดที่เป็นพื้นกระจกให้ได้ชมวิวกันอย่าง 360 องศา หมอกสีขาวลอยต่ำอยู่เหนือภูเขาเล็กใหญ่ที่ตั้งเรียงรายจนสุดปลายขอบฟ้า ภาพตรงหน้าตอนนี้ไม่อาจมีเลนส์หรือกล้องตัวไหนสามารถบันทึกให้สวยงามได้เท่ากับของจริงที่ดวงตากำลังมองอยู่ขณะนี้ สิ่งหนึ่งที่รู้สึกดีใจคือช่างเป็นเรื่องราวที่ดีจริง ๆ ที่เราได้มายืนอยู่ตรงนี้ เรายืนชมวิวและถ่ายรูปกับอยู่พักใหญ่ ๆ แล้วพากันเดินขึ้นไปอีกชั้น ชั้นนี้ไม่ได้มีทางยื่นไปข้างหน้าแต่ก็สามารถรับชมวิวได้เช่นกัน ลมฝนกำลังมา หมอกที่เริ่มหนาตัวขึ้น และเม็ดฝนที่โปรยลงมาอย่างเบาๆ ทำให้อากาศหนาวขึ้นนิดหน่อยจากที่หนาวอยู่แล้วแต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคหนักหนาเท่าไหร่ ผู้คนยังคงทยอยมาอย่างต่อเนื่องบ้างก็เริ่มกลับบ้างก็ยื่นถ่ายรูปบ้างก็รับลมชมวิว 8:00 น. เราลงมาจากสกายวอร์คและมาแวะทานอาหารเช้ากันที่ระหว่างทางลงจากเขา ค่าอาหารเช้า 25 บาทและโกโก้ร้อน 15 บาท ขณะนั้นก็เป็นเวลาของฝนพอดี เมื่อกินอาหารเช้ากันเสร็จฝนก็หยุด เราแวะถ่ายรูปกันที่จุดตั้งแคมป์ทางขึ้นไปสกายวอร์ค และไม่นานเราก็เริ่มเดินทางต่อไปยังสถานที่ใหม่ ระหว่างทางที่ตอนนี้ถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาสายแล้วแต่บรรยากาศที่นี้ยังดูเหมือนเช้าอยู่ตลอดเวลาอากาศที่เย็นสบาย สองข้างทางที่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ ใบไม้ต้นไม้เขียวขจี ถนนที่ทอดยาวข้ามเขา สารภาพตามตรงชอบถนนที่นี่มากเลยละ ถนนที่นี่มีเพื่อนคู่ใจอย่างทะเลสาบป่าฮาลา-บาลาที่ไหลเป็นสายหยอกล้อกันไป ชอบถนนที่นี่มากๆเลย 11:00 น.เราขับรถตามถนนเส้นนี้ไปยังจุดหมายต่อไปคือ สะพานข้ามทะเลสาบป่าฮาลา-บาลา เมื่อไปถึงเราก็แวะกินข้าวเที่ยงกันที่ร้านอาหารบริเวณสะพาน ค่าข้าวเที่ยง 60 บาท เมื่อเติมพลังก็ไปผจญภัยกันต่อ เรามาถ่ายรูปกันที่สะพานข้ามทะเลสาบป่าฮาลา-บาลา ซึ่งเป็นไฮไลต์ของเส้นทางยะลาสู่เบตง ใครมาเบตงต้องไม่พลาดที่นี่ เป็นจุดชมวิวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ยืนตรงกลางสะพานจะได้เห็นเวิ้งน้ำขนาดใหญ่เป็นเส้นไกลออกไปสุดสายตา ทั้ง 2 ด้านต่างถูกโอบอุ้มไปด้วยความเขียวขจีของต้นไม้นานาชนิดแบบป่าดิบชื้นที่คงไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ เมื่อเราถ่ายรูปกันอย่างหนำใจได้ภาพสวยบรรยากาศสวย ๆ เราก็ออกเดินทางต่อสู่จุดหมายสุดท้ายของวันนี้ 12:30 น. เราขับรถกลับเส้นทางเดิมเพื่อไปยังน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เส้นทางระหว่างขับรถมาผ่านถนนหนทางคดเคี้ยวเลี้ยวโค้ง บรรยากาศสองข้างทางยังคงสะกดสายตาด้วยมนต์เสน่ห์เมืองกลางขุนเขาจริง ๆ ยิ่งใกล้ยิ่งสวย ด้วยความชอบถนนส่วนตัวจึงหยุดถ่ายรูปกับถนนเส้นนี้เสียหน่อยและเดินทางต่อสู่น้ำตก ร.9 เมื่อมาถึงทางเข้าน้ำตกขับเข้าไปอีกหน่อย GPS ก็ใช้ไม่ได้สัญญาณโทรศัพท์ขาดหาย ตอนนี้ฝนกำลังตกเรื่อย ๆ ยิ่งขับลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ใจก็หวิว ๆ แต่ในที่สุดเราก็มาถึงน้ำตกเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ด้วยการถามเส้นทางคนในระแวกนั้น เข้ามาถึงป้ายหน้าน้ำตกก็เดินเท้าไปตามทางเดินอีกหน่อย เราจะเจอศาลาหลังใหญ่ และที่ใหญ่กว่าศาลาคือ น้ำตกที่ไหลสง่าอยู่ใจกลางป่าแห่งนี้ เป็นความพีคในพีคจากการแช่น้ำร้อน ทะเลหมอกอัยเวง และทะเลสาบฮาลา-บาลาที่กว้างใหญ่นั้น คิดว่าคงไม่มีอะไรให้ความรู้สึกดีไปกว่าแล้ว แต่เมื่อเข้ามาถึงที่นี่ เมื่อสายตามองเห็นสิ่งที่ตระหง่านตระการตาอยู่ใต้พื้นป่าอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ เมื่อใบหน้าได้สัมผัสละอองไอน้ำที่เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากหน้าผาสูงกว่า 30 เมตร เมื่อหูได้ยินเสียงน้ำกระทบพื้นและไหลผ่านซอกหิน เมื่อตอนนั้นคิดได้เพียงว่าน้ำตกจะสวยงามขนาดนี้เลยเหรอ การตกหลุมรักธรรมชาติมันเป็นแบบนี้สินะ แม้ฝนจะตกแต่ความสวยของน้ำตกแห่งนี้ก็ยิ่งสวยขึ้นทุกครั้งที่มองดู เรานั่งมองยืนมองน้ำตกแห่งนี้ในใจก็นึกถึงนิยายสี่สหายผจญภัยตอนหนึ่งที่เล่าถึงน้ำตกที่ใหญ่และสวย ตอนที่อ่านได้แต่จินตนาการถึงความงดงามบัดนี้ได้สัมผัสกับตานั้นสวยยิ่งกว่าจินตนาการเสียอีก ไม่อาจบันทึกไว้เป็นภาพได้สวยเท่าของจริงแต่ความทรงจำบันทึกสถานที่แห่งนี้ไว้และหวังว่าสักวันหนึ่งเราอาจกลับมาอีกครั้ง 15:00 น. เราเดินทางกลับที่พักถึงประมาณ 4 โมงเย็น ทุกคนต่างอ่อนล้าและอ่อนแรงจึงเผลอหลับไปตื่นมาอีกทีก็ 1 ทุ่มซึ่งตอนนี้กระเพาะกำลังครวญคราง ซึ่งช่างเป็นเวลาที่วิเศษจริง ๆ เมื่อเราได้กินหมูกระทะกันในบรรยากาศแบบนี้ ซึ่งมื้อนี้คุณแม่ของเพื่อนเป็นคนเลี้ยงทำให้อิ่มท้องอิ่มอกอิ่มใจกันถ้วนหน้า คืนนี้อากาศหนาวแล้วด้วยความเหนื่อยเราจึงไม่ได้ออกไปข้างนอกกัน เราต่างพักผ่อนและหลับใหลไปกับความฝันท่ามกลางความทรงจำที่ล้ำค่าในวันนี้ 6:10 น. เป็นเวลาตื่นนอนของวันสุดท้ายในทริปนี้ พวกเราล้างหน้าล้างตากันเพื่อไปกินติ่มซำที่บริเวณหอนาฬิกาในตัวเมืองเบตงซึ่งอยู่ไม่ห่างมากนัก ผู้คนต่างตื่นออกมาจับจ่ายใช้สอย ร้านน้ำชาบริเวณนี้เต็มไปด้วยเหล่าลุงป้าน้าอาที่นั่งกินน้ำชา อาหารเช้า และนั่งคุยมองผู้คนสัญจรไปมา เมื่อเรามาถึงร้านก็สั่งติ่มซำกันตามใจชอบและอาหารอื่น ๆ อีกนิดหน่อย มื้อนี้ตกคนละ 81 บาท ทุกคนอิ่มกันมากเมื่อกลับมาถึงบ้านคุณแม่ของเพื่อนที่ใจดีได้ยินเราพูดว่าอยากกินโรตีน้ำแกงท่านก็ซื้อมาให้ช่างใจดีกับพวกเรามาก เมื่อกินเสร็จก็อาบน้ำแต่งตัวจัดของเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ 10:50 น. เมื่อจัดของและไปซื้อตั๋วรถตู้ เบตง - สงขลา ไว้แล้วค่ารถเดินทางกลับ 260 รถออกบ่ายโมงตรงเรายังมีเวลาในการเที่ยวรอบเมืองและถ่ายรูปกัน พวกเราขับรถเวียนตัวเมืองเบตงซึ่งอากาศก็ยังเย็นสบายสดชื่นเหมือนเดิม เรามาแวะถ่ายรูปกันที่สวนสาธารณะ สตรีทอาร์ต และถนน กม.2 จนกินเวลาไปถึง 12 : 45 น. ซึ่งมีอีกหลายที่มากในตัวเมืองเบตงที่น่าถ่ายรูปเพราะเมืองแห่งนี้มีความสวยงามที่เป็นของตัวเอง เราได้แต่พูดกับเพื่อนว่า 3 วัน 2 คืน มันน้อยไปจริง ๆ สักวันเราจะกลับมาใหม่และเก็บความสวยงามของเบตงไว้ในความทรงจำให้ได้ งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ได้เวลากลับไปใช้ชีวิตทำหน้าที่ของตัวเองกันต่อพวกเราลาคุณแม่และเพื่อนที่ตัดสินใจอยู่กับครอบครัวต่ออีกหน่อย ทำให้เหลือผู้เดินทางสามคนมาถึงหาดใหญ่และต่อรถกลับสงขลาอีก 32 บาท ทริปนี้ก็เป็นอันจบ คำตอบของคำถามว่าในช่วงเวลาฝนตกแบบนี้ทำไมเราไม่เลือกนอนอยู่ใต้ผ้าห่มอันแสนอบอุ่นนั้น คำตอบก็บอกมาตลอดทั้ง 3 วัน 2 คืนว่าทำไม การออกเดินทางในครั้งนี้ในช่วงฝนตกเราไม่ได้รับรู้ถึงความยากลำบากของอุปสรรคที่ทุกคนมองว่าหนักหนา บางครั้งเมื่อเราพบเจออุปสรรคปัญหาหากสิ่งนั้นไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือแก้ไขได้เราก็แค่ใช้ชีวิตไปกับมัน เพราะบางครั้งอุปสรรคเหล่านั้นก็กลับมาเกื้อหนุนนำพาให้เราพบเจอสิ่งที่ดี ที่มีค่า ที่สวยงามเกินกว่าจะคาดถึงและไม่บ่อยที่ใครจะพบเห็น ชีวิตไม่ได้ปูด้วยพรมแดงเพียงอย่างเดียว มันยังโรยด้วยกลีบกุหลาบและหนามกุหลาบมาด้วยกัน มันมีพร้อมทั้งความสวยงามและอุปสรรคเราเพียงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ชีวิตหากใช้มันไปอย่างเรื่อยเปื่อยก็คงไม่มีความรู้สึกอยากใช้ชีวิตมากเท่าไหร่ ลองออกเดินทางสำรวจธรรมชาติและพื้นแผ่นดิน ท้าทายตัวเองและออกไปบันทึกความทรงจำใหม่ ๆ สถานที่ใหม่ ๆ การเดินทางในครั้งนี้นั้นเป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดหมายแม้เราจะวางแผนไว้อย่างดี สุดท้ายเราก็ต้องมาเผชิญความท้าทายที่สร้างความสุข รอยยิ้ม และความทรงจำที่แสนล้ำค่า เบตงเป็นเมืองกลางขุนเขาที่งดงามไปด้วยผู้คนและธรรมชาติการ ความทรงจำครั้งนี้นั้นไม่อาจลบเลือน ไม่คิดจะลืมเลือน และจะจดจำ จดบันทึกใส่ความทรงจำตลอดไป อ้างอิง: ภาพถ่ายทั้งหมดจากนักเขียน อัปเดตบทความท่องเที่ยวตามสถานที่อันหลากหลาย โหลดเลยที่ App TrueID ฟรี !