สำหรับคอภาพยนตร์สะท้อนสังคม ไม่ควรพลาดเรื่องนี้...“นอกจากสถาบันครอบครัวแล้ว สถาบันการศึกษาคืออีกหนึ่งเสาเข็มที่แข็งแกร่งของเยาวชน” นี่คือหลักคิดสามัญที่ผู้คนต่างยอมรับกันถ้วนหน้า ดิฉันเองก็เชื่อมั่นเช่นนั้น แต่ในฐานะของนักเรียนวารสารศาสตร์คนหนึ่ง คำถามที่เกิดขึ้นเสมอ คือ เราจะสามารถบ่มเพาะให้เด็กรุ่นใหม่เติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการอ่านและการเขียนได้มากน้อยเพียงไรคำตอบส่วนมากที่สะท้อนกลับมา มักถูกเฉลยด้วยสถิติของเยาวชนไทยที่มีอัตราการอ่านออกเขียนได้ลดลง สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันเกิดแรงจูงใจในการสืบค้นภาพยนตร์สักเรื่องเพื่อช่วยสืบสาวถึงคำตอบที่แท้จริงของการทำให้ผู้เรียนก้าวไปข้างหน้าพร้อมๆ กับวิถีแห่งการศึกษาที่มีคุณภาพช่วงเวลาแห่งความสงสัยได้คลี่คลายลง เมื่อดิฉันได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง Freedom Writers หรือ บันทึกของหัวใจ…ประกาศให้โลกรู้ – ภาพยนตร์นอกกระแสของผู้ผลิตฝั่งตะวันตกเรื่องนี้ อาจไม่โด่งดังถึงขั้นติดอันดับต้นๆ ของตารางหนังในสมัยนั้น แต่ภายในเวลาร่วมสองชั่วโมงของการดำเนินเรื่องราวชั้นเยี่ยม ทำให้ดิฉันไม่สามารถละสายตาออกจากหน้าจอได้แม้แต่น้อยFreedom Writers คืองานศิลป์ที่ผสมผสานด้วยองค์ประกอบทั้งด้านความหมาย (Pragmatic) และความสวยงามของภาพ (Aesthetic) อย่างลงตัว เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างเรียบง่ายในสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยผู้คนต่างเชื้อชาติ และด้วยความเป็นเบ้าหลอมรวมพลเมืองต่างบ้านเกิดเมืองนอนนี้เอง คือหัวใจที่นำไปสู่จุดขัดแย้งของเรื่องราวทั้งหมดผู้สร้างภาพยนตร์เลือกใช้มุมมองของภาพที่สมจริง มีการใช้ภาพมุมกว้างกับมุมแคบสลับกันไป ทั้งยังเลือกสีสันของฉากและเสื้อผ้าที่พอเหมาะ ไม่ฉูดฉาดเกินความเป็นจริง บรรยากาศภายในห้องเรียนถูกถ่ายทอดออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ ตัวละครในแต่ละฉากมีความโดดเด่นเท่าๆ กัน ไม่เบียดอัดกันในกรอบภาพจนเกินไป ภาพเหล่านี้ที่ปรากฎแก่สายตาคนดูจึงใกล้เคียงกับสภาพสังคมอเมริกันมากที่สุดเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน High School ของประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งเสรีภาพบอกอะไรดิฉันได้หลายประการ นักเรียนหลากหลายเชื้อชาติ คุณครูใหญ่ คุณครูประจำชั้น พนักงานในโรงเรียน ล้วนเป็นหนึ่งหน่วยในสังคม ทุกชีวิตย่อมมีบทบาทและหน้าที่ที่ตนเองพึงปฏิบัติในแต่ละวันเพื่อให้โรงเรียนแห่งนี้เป็นสถาบันทางสังคมที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพอารมณ์ที่หลากหลายในห้องเรียน ทั้งเสียงหัวเราะจากความสุข คำเยาะเย้ยของวัยรุ่นผิวขาวที่มีต่อวัยรุ่นผิวสี การทะเลาะกันทางวาจา การต่อรองทางอำนาจระหว่างครูและนักเรียน รวมทั้งความสะเทือนใจที่กลั่นออกมาจากปมลึกๆ ในหัวใจของวัยรุ่นแต่ละคน คือเสน่ห์และจุดขายของภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่ไม่ใช่การขายอย่างฉาบฉวย แต่เป็นการขายมุมมองทางสังคมในเชิงที่ลึกซึ้งและมีความหมายอย่างยิ่งประเด็นความขัดแย้งจากความแตกต่างทางวัฒนธรรม (Intercultural Conflict) ไม่ว่าจะเป็น คนผิวสีเชื้อแอฟริกัน คนผิวเหลืองเชื้อเอเชีย คนผิวขาวแบบอเมริกัน และคนเชื้อสายเม็กซิกัน ถูกฉายภาพผ่านวิถีชีวิตในห้องเรียนที่มีผู้เรียนราว 20 คน ทุกเชื้อชาติต่างมีเอกลักษณ์ของตนเองและมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย จึงเป็นหน้าที่ของคุณครู Erin ที่จะมาประสานรอยร้าวให้กลับมาราบเรียบอีกครั้งI'm a teacher, it doesn't matter what color I am.ฉันเป็นคุณครู...ฉันไม่จำเป็นต้องยึดโยงกับเรื่องของสีผิวคุณครู Erin เข้าใจในความแตกต่างและเลือกที่จะขจัดความบาดหมางทางเชื้อชาติโดยวิธีที่เรียบง่ายและได้ผลฉมัง นั่นคือ การมอบไดอารี่ให้นักเรียนคนละ 1 เล่ม พร้อมกับหนังสืออ่านนอกเวลาที่มีประโยชน์ ไม่ว่าผู้เรียนคนนั้นจะพบอุปสรรคใดในชีวิต ขอเพียงแค่บันทึกความทรงจำที่มีลงไปในหน้ากระดาษ เพราะคุณครูเชื่อมั่นว่า ไดอารี่คือสัญลักษณ์แห่งความเท่าเทียม แม้นักเรียนทุกคนจะมีพื้นเพที่ไม่เหมือนกัน แต่จุดมุ่งหมายที่แท้จริง คือการทำความเข้าใจตนเอง รวมทั้งการเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่าง“ความแตกต่างอย่างลงตัว” ถูกถ่ายทอดผ่านการแลกเปลี่ยนบทสนทนาระหว่างผู้เป็นครูกับผู้เรียน ไม่มีการทะเลาะกันอย่างรุนแรง ไม่มีการใช้คำหยาบคาย แต่เป็นการทลายความไม่เท่าเทียมกันด้วยการสื่อสารอย่างสันติ (Non-Violence Communication) การบอกเล่าเรื่องราวอย่างมีสัมพันธภาพผสานกับ บทเพลงคลอเบาๆ และการดำเนินเรื่องที่ไม่ยืดยาด ทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ร่วมและเข้าใจเรื่องได้อย่างรวดเร็วนอกเหนือจากปัญหาในห้องเรียนที่นักแสดงถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างทรงพลังแล้ว การนำเสนอปัญหาระหว่างเยาวชนกับครอบครัวก็เป็นอีกหนึ่งแง่มุมที่น่าสนใจ Freedom Writers เสนอภาพของครอบครัวชายหนุ่มผิวสีที่อยู่ในย่านยาเสพติด มีการก่อความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ส่วนหญิงสาวผิวสีอีกคนหนึ่งก็อยู่ในวงจรของปัญหาสังคมในลักษณะเดียวกัน เรื่องราวในภาพยนตร์ดำเนินมาถึงจุดวิกฤต เมื่อนักเรียนหญิงคนนี้เป็นผู้พบเห็นแก๊งวัยรุ่นยิงเด็กชายตัวเล็กๆ จนเสียชีวิตวินาทีที่เด็กชายผิวสีวัยประถมถูกกระสุนปืนทะลุร่างกายจนแน่นิ่งไป เป็นวินาทีเดียวกับที่หญิงวัยรุ่นเดินผ่านมาเห็นพอดี เธอตกใจมากแต่ไม่กล้านำเรื่องราวนี้ไปบอกใคร เนื่องจากเกรงกลัวอิทธิพลของก๊วนวัยรุ่นในละแวกนั้น – คุณครู Erin และเพื่อนร่วมชั้นทราบเรื่องนี้ในภายหลัง จึงพยายามโน้มน้าวให้หญิงสาวผู้นี้เห็นคุณค่าของความยุติธรรมและกล้าที่จะเป็นพยานเพื่อนำตัวคนผิดมาลงโทษตามกฎหมายปมของเหตุการณ์ต่างๆ ใน Freedom Writers ถูกสร้างสรรค์ขึ้นอย่างกลมกล่อมผ่านการถ่ายทอดความรู้สึกของนักเรียนวัยรุ่นลงในสมุดเล่มเล็กๆ แต่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ที่มีชื่อว่าไดอารี่ สมุดบันทึกขนาดกะทัดรัด คือพลังในการปลดแอกชีวิตของนักเรียนให้กล้าเผชิญหน้ากับอุปสรรคในชีวิต ไดอารี่ทุกเล่มที่คุณครูมอบให้เด็กๆ จึงเป็นเหมือนสถานที่แห่งการบ่มเพาะเยาวชนให้เข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต เลือกที่จะยอมรับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ และไม่คัดค้านผู้ที่เห็นต่างด้วยการใช้กำลัง ในที่สุด บทเรียนผ่านกระดาษบันทึกอันทรงคุณค่านี้ก็ทำให้เหล่าผู้เรียนกลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพได้ในอนาคต เรื่องราวในตอนสุดท้ายของภาพยนตร์เป็นที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง – แต่จะติดตรึงในความทรงจำขนาดไหน...ดิฉันอยากให้ผู้อ่านทุกท่านสัมผัสแง่มุมที่งดงามและจับใจด้วยตัวเองก่อนจะจากกันไป หวังเพียงว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ จะเป็นสื่อที่ช่วยจุดประกายให้สังคมไทยผลักดันให้ผู้เรียนทั้งหลายเข้าถึงการอ่านและการเขียนอย่างเสรีมากขึ้น เพื่อในอนาคต รั้วการศึกษาไทยจะสามารถผลิตนักคิด-นักเขียนที่มีไฟและกล้าถ่ายทอดแง่มุมต่างๆ ในชีวิตด้วยความเป็นตัวของตัวเองและเช่นเดียวกับผู้เขียนภาพยนตร์เรื่องนี้ ดิฉันเชื่อมั่นอย่างเต็มกำลังว่าปลายปากกาที่จรดลงบนหน้ากระดาษบันทึก คือถนนสายหลักสู่อนาคตที่ก้าวหน้าของเยาวชนทั้งหลาย...หมายเหตุ: รูปภาพทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียน