**บทความเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ภาพยนตร์ คิม จี-ยองเกิดปี 82 (Kim Ji-Young: Born 1982) เป็นภาพยนตร์ดรามา-โรแมนติก นำแสดงโดย จอง ยูมิ และ กงยู ถูกดัดแปลงจากนวนิยายเรื่องเดียวกันของ โชนัมจู ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2016 โดยที่โชนัมจูเองก็เป็นนักเขียนที่ไม่ได้มีชื่อเสียงมากนัก ทว่านับตั้งแต่ ไอรีน วง Red Velvet ถือหนังสือเล่มนี้ในสนามบินเมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา แล้วถูกแฟนคลับตาดีเห็นเข้า มีคนแสดงความเห็นว่าการถือหนังสือเท่ากับว่าเธอยอมรับว่าสนับสนุนแนวคิดเรื่องเฟมินิสต์(Feminism) จนทำให้ถูกแฟนคลับชายและฝั่งต่อต้านเฟมินิสต์โจมตีอย่างหนักเรื่องย่อภาพยนตร์คิม จียองเกิดปี 82 เล่าเรื่องราวของผู้หญิงวัยสามสิบคนหนึ่งที่ต้องอยู่บ้านเพื่อเลี้ยงลูก ในขณะที่สามีออกไปทำงานหาเลี้ยงครอบครัว แต่การเป็นแม่บ้านเต็มตัว ทำให้ “คิม จียอง” เริ่มไม่เป็นตัวของตัวเอง และเมื่อทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เธอก็พบว่าตนเองถูกกฎเกณฑ์ต่างๆ ของสังคมทำให้มีชีวิตในแบบที่เธอเองไม่ต้องการ จากคิมจียอง สู่ผู้หญิงทุกคนภาพยนตร์เปิดเรื่องมาด้วยฉากที่จอง แดฮยอน สามีของคิม จียองคุยกับเธอว่าจะพาไปเยี่ยมแม่ที่ปูซาน ซึ่งเป็นบ้านเกิดของสามีในเทศกาลปีใหม่ ที่ถือเป็นวันที่ทุกคนจะกลับไปพบหน้าครอบครัว อยู่พร้อมหน้าพร้อมตาเป็นธรรมเนียม ซึ่งครอบครัวที่กล่าวมาคือครอบครัวสามี อย่างไรก็ตามคิม จียองไม่ได้ปฏิเสธที่จะไปบ้านสามี กลับกันเธอมองว่ามันเป็นหน้าที่ของภรรยาที่ดี ที่ต้องดูแลครอบครัวสามีอย่างดี จนกระทั่งไปถึงบ้านแม่สามีที่ปูซาน อาการไม่เป็นตัวของตัวเองก็ปรากฏขึ้น คิม จียองพูดจาไม่เหมือนเดิมราวกับเป็นคนละคน ระบอบขงจื๊อใหม่ที่เข้มข้นแต่ชวนขมขื่นจากธรรมเนียมของขงจื๊อที่ฝังรากอย่างลึกซึ้งมานาน มีคำสอนที่เรียกว่าระบบความสัมพันธ์ห้าประการที่ถือเป็นพื้นฐานสำคัญในปรัชญาขงจื๊อ ในเกาหลีเองก็รับมา เป็นคำสอนเรื่อง “ซัมกัง โอรยุน(삼강오륜)” โดยข้อบัญญัติซัมกังคือสามคล้อยตาม ที่ภรรยาต้องเคารพบิดา แต่งงานมาเชื่อฟังสามี หากมีลูกชายก็ต้องเชื่อฟังลูกชาย และโอรยุนคือความสัมพันธ์ 5 ประการ การยึดถือหลักคำสอนของขงจื่อ ทำให้ครอบครัวของชาวเกาหลีเป็นไปอย่างเป็นระเบียบแบบแผน ชาวเกาหลีรับเอาแนวคิดมาพึงปฏิบัติต่อกันอย่างเคร่งครัดดังที่ได้ยกคำสอนของขงจื่อไปแล้วในข้างต้นที่สำคัญยังมีประเด็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางว่าในสังคมเกาหลี คือการซ่อนกล้องแอบถ่าย หรือ “molka” (몰카) ซึ่งยิ่งตอกย้ำปัญหาการคุกคามทางเพศต่อผู้หญิงในสังคม โดยเฉพาะการคุกคามทางเพศในสถานที่สาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือสถานที่ทำงาน โดยปี 2018 ที่ผ่านมา ผู้หญิงในกรุงโซลและเมืองอื่นๆในเกาหลีออกมาเดินประท้วงเรื่องการซ่อนกล้องแอบถ่าย ด้วยสโลแกนที่ว่า"ชีวิตฉันไม่ใช่หนังโป๊ของคุณ (My Life is Not Your Porn)"เรื่องดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติที่ผู้หญิงจะต้องระแวดระวังภัยด้วยตัวเอง ขนาดที่ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ นายมุน แจอินยังออกมายอมรับว่า การติดกล้องแอบถ่าย ถูกทำเป็นประจำจนเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้ว ซึ่งภาพยนตร์ก็นำเสนอฉากนี้ได้อย่างขมขื่น กล่าวคือแม้ทุกคนจะตกใจแต่ก็ยกเอามาเล่าเป็นเรื่องตลก ถ้าเข้าห้องน้ำสาธารณะไม่ได้ก็พกกระโถนแทนสิ หรือเอาผ้าอ้อมลูกมาใช้แทน ขณะเดียวกันผู้หญิงที่ถูกแอบถ่ายก็ต้องประสบกับภาวะหวาดระแวง และสอดแทรกปัญหาที่เกิดขึ้นตามมาอย่าง “การลงโทษผู้เสียหาย” (Victim-Blaming) เมื่อพวกเธอลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิ หรือไปแจ้งความแก่ตำรวจ พวกเธอกลับถูกสังคมมองว่าอยากมีชื่อเสียง หนำซ้ำยังถูกมองว่าพวกเธอไม่ระวังตัวจนถูกแอบถ่าย กลายเป็นเรื่องขมขื่นไปเสียอย่างนั้นแม้กระทั่งการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้นในสังคม โดยในหนังสือชี้ว่าทางรัฐบาลเกาหลีใต้พยายามอย่างมากที่จะแก้ปัญหาเรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในที่ทำงาน ออกกฎหมายว่าด้วยโอกาสจ้างงานที่เท่าเทียม มาตราที่ 30 และมีการออกกฎว่าที่ทำงานจะต้องมีการอบรมพนักงานเป็นประจำทุกหนึ่งปี เรื่องการล่วงละเมิดทางเพศในฉากดังกล่าว เพื่อนของจองแดฮยอน สามีของคิมจียองกล่าวอย่างขำขันว่า มันก็เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งยังพูดติดตลกแต่ชวนขมขื่นในใจคนดูว่า “อยากกลับไปเกิดในยุคโชซอนจัง” เพราะสังคมปิตาธิปไตยหรือชายเป็นใหญ่ในโชซอน ที่เอื้อพื้นที่ให้เพศชายมากเหลือเกินเพราะเราทุกคนคือคิมจียอง หรือเพราะคิมจียองมีชีวิตเหมือนเราภาพยนตร์ฉายภาพให้เห็นว่าคิมจียองเติบโตมาอย่างไร ผู้ชมเองก็ซึมซับความรู้สึกของเธอได้ไม่ยาก ทั้งเป็นลูกสาว วัยรุ่น ผู้หญิงวัยทำงาน เป็นภรรยา และเป็นแม่ โดยใช้ช่วงเวลาในชีวิตของคิมจียองนี้บรรยายให้เห็นว่า 'ผู้หญิง' เป็นอย่างไรในสังคมเกาหลี กับวัฒนธรรมเอเชีย โดยเน้นประเด็นทางสังคมหลายประการ สำหรับผู้หญิง ทั้งเรื่องอาชีพ ความฝัน พึ่งพาตนเอง สังคม แรงกดดันจากเพื่อน ความคาดหวังทางสังคมเรื่องการ 'สิ่งที่ภรรยาที่ดีควรทำ’ ซึ่งถือว่าตลกร้ายพอสมควรเมื่อภาพยนตร์เองก็นำเสนอภาพหญิงแกร่ง ในสายตาของสังคมอย่างหัวหน้าคิม ที่ไม่ลาออกจากงานเพื่อไปเลี้ยงลูก แต่เธอกลับโดนสังคมตีตราว่าเป็นแม่ที่ไม่ดี เนื่องจากไม่ได้เลี้ยงลูกเอง เว็บไซต์ South China Morning Post ให้ข้อมูลว่ามีคู่รักเกาหลีใต้ที่ไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วเลิกกัน ขณะที่ Oh Sun-young วัย 31 กล่าวว่าเธอเห็นความเห็นในอินเทอร์เน็ต มีผู้ชายหลายคนกล่าวว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เกินจริง และเป็นแฟนตาซีสตรีนิยมเกินไป อีกคนกล่าวว่าบทของจอง แดฮยอนในภาพยนตร์นั้นดูเป็นผู้ชายในอุดมคติเกินไป ไม่มีผู้ชายที่ไหนมาช่วยเลี้ยงลูกหรือทำงานบ้านจุกจิกแบบบนั้นในชีวิตจริงหรอก โดยเหตุผลที่ผู้ชมกล่าวเช่นนั้น เนื่องจากบทบาทของจอง แดฮยอน สามีของคิมจียองในภาพยนตร์นั้น ดูโดดเด่นพอสมควร ซึ่งจอง แดฮยอนอาจจะเป็นสามีในอุดมคติที่ผู้หญิงต้องการจริงๆ ที่อาสาลางานมาช่วยเลี้ยงเธอเลี้ยงลูก รู้จักเห็นอกเห็นใจในสิ่งที่พวกเธอต้องเสียไปและมองมันว่าไม่ใช่เรื่องปกติอีกต่อไป อีกทั้งสามีของคิมจียองเองก็รู้จักให้เกียรติภรรยาของตัวเองทั้งต่อหน้าและลับหลังอีกด้วย อย่างไรก็ตาม จอง แดฮยอนก็เป็นอีกหนึ่งที่ถูกสังคมตีกรอบไว้ให้อย่างชัดเจน ทั้งต้องเป็นช้างเท้าหน้า การทำงานอย่างแข็งขันเพื่อเลี้ยงภรรยาและลูกคือสิ่งที่ชายชาตรีควรทำ หากเขาเดินออกนอกเส้นทางนั้น ก็จะถูกมองว่าผิดแปลกไป อาจกล่าวได้ว่าผู้กำกับเลือกเพิ่มเติมรายละเอียดที่ขาดหายไปเพื่อทำให้ภาพยนตร์มีภาพที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เสนอภาพว่าผู้หญิงถูกผูกไว้กับความแม่และเมีย ในขณะที่ผู้ชายในสังคมเกาหลีเองก็ยังถูกสังคมผูกไว้กับสถานะหัวหน้าครอบครัว ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจไม่ได้นำเสนอวิธีการแก้ปัญหาในสังคมเกาหลี ว่าตกลงเราควรจัดการอย่างไรกับอคติทางเพศ การกดทับสตรีไว้กับแนวคิดชายเป็นใหญ่ หรือการล่วงละเมิดทางเพศที่คนในสังคมยังมองว่าเป็นเรื่องปกติ เพียงแต่นำเสนอถึงปัญหาที่เกิดขึ้น และพยายามชี้นำสังคมให้เห็นว่า ในอนาคตผู้ชาย ผู้หญิง และคนในสังคมควรจะตระหนักถึงปัญหานี้ อย่างไรก็ตามปัญหาดังกล่าวในอนาคตอาจเป็นพลังในการขับเคลื่อนที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งในนิยาย คิมจียองเองก็วาดหวังว่าอนาคต ในรุ่นของลูกสาวจะไม่ต้องประสบปัญหาเช่นเธอ หรือแม่ของเธอหรืออย่างผู้หญิงเกาหลีในอดีตที่ต้องถูกกรอบสังคมตีตรา ไม่ให้พวกเธอเลือกทางเดินของตัวเอง อีกทั้งเราเองก็หวังเช่นกันว่า จะมีผู้ชายที่มีทัศนคติใหม่อย่างน้องชายของคิมจียอง และสามีของคิมจียอง ที่เข้าอกเข้าใจถึงปัญหา และพยายามแก้ไขมากกว่าเมินเฉยภาพยนตร์ที่โด่งดังควบคู่มากับกระแสเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ถือเป็นเรื่องแรกของผู้กำกับหญิงอย่างคิม โดยอง ซึ่งถ่ายทอดและลำดับเนื้อเรื่องของภาพยนตร์ออกมาได้เป็นอย่างดี หากเทียบกับบทประพันธ์เดิมแล้ว ภายในเล่มมักตัดสลับเนื้อเรื่องไปมา แต่เมื่อนำเนื้อเรื่องมาสร้างเป็นภาพยนตร์แล้ว ผู้กำกับและทีมงานได้คัดเลือกเนื้อหาในหนังสือที่คิดว่าเหมาะสมแล้ว และส่งสารมายังผู้ชม ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเนื้อหาเดิมในนิยายแล้ว นับว่าผู้กำกับยอมถอยหลายก้าวเลยทีเดียวคิมจียองเกิดปี 82 ดูเหมือนจะเป็นภาพยนตร์ครอบครัวมากกว่านำเสนอปัญหาเรื่องสิทธิสตรี และความลำเอียงทางเพศที่มีในสังคมที่ผู้หญิงทุกคนในเกาหลีใต้ต้องประสบ เนื่องจากฝ่ายสามีเองก็พยายามจะทำความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ พยายามหาทางแก้ปัญหาชีวิตครอบครัว ซึ่งคิมจียองเองก็ยอมรับกับจิตแพทย์ที่ไปพบว่า เธอรู้ว่ามันมีทางออก แต่เธอกลับเดินอ้อมกำแพง ยิ่งเดินก็ยิ่งเจอกำแพงจนไม่เจอทางออก คนอื่นอาจจะมีวิธีแก้ปัญหา เพียงแต่ว่าเธอยังไม่พบเจอเท่านั้น ต่างจากฉากจบในนิยายที่ไม่ได้บอกอะไรเรามากนักว่าสิ่งที่คิมจียองเป็นคืออะไร ทำไมเธอจึงเหมือนมีโรคหลายบุคลิก ที่สร้างตัวตนอื่นมารองรับความเจ็บปวดของเธอ ซึ่งนิยายพยายามชวนเราหาคำตอบ และการแก้ปัญหาในอนาคตต่อไป แต่ภาพยนตร์ไม่ได้ปล่อยเราทิ้งไว้กลางทางเช่นนั้น ซึ่งผู้กำกับเองก็พยายามขมวดปม และเติมเต็มเนื้อหาที่ขาดหายไป ปรับให้มันเป็นภาพยนตร์ครอบครัวแสนอบอุ่น ที่คิมจียองมีลูกสาวแสนน่ารัก สามีแสนอบอุ่น ครอบครัวของเธอเองที่แม้พ่อจะไม่ได้สนใจลูกผู้หญิงแต่แรก แต่ก็พยายามที่จะเข้าใจเธอให้มากขึ้นเชิงอรรถเส้นทางของ คิม-จียอง ก่อนกลายเป็นหนังดัง : ถ้าผู้หญิงมี คิม-จียอง ผู้ชายก็มี คิม-จีฮุน?โอ ซูอา หญิงสาวในอุดมคติ นิยามความสำเร็จของคนเกาหลี"ซ่อนกล้องแอบถ่าย" ภัยคุกคามทางเพศแดนโสมHundreds of motel guests were secretly filmed and live-streamed onlineHidden camera crime in South KoreaHow feminist book 'Kim Ji-young' became million-sellerDirector says ‘Kim Ji-young, Born 1982’ a story that ‘must be told’‘Kim Ji-young, Born 1982’, Korea’s #MeToo Book, Is Now A Hit Movieเครดิตรูปภาพ : Lotte Entertainment