ดูแลตัวเองเพื่อดูแลผู้อื่น เรื่อง/ภาพ: ทนายน้อยหน่า คนเราบ่อยครั้งที่รู้ว่าอะไรดีและควรทำแต่ไม่ทำหากไม่มีแรงจูงใจจากสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่นให้ตื่นเช้าจะไม่ตื่น แต่ถ้านัดหมายกับเพื่อนไปเจอกันแต่เช้าจะตื่นเพราะไม่อยากให้เพื่อนรอเก้อ หรืออย่างเช่นต้องดูหนังสือเพื่อสอบให้ได้คะแนนดีจะไม่มีแรงจูงใจมากเท่ากับดูหนังสือเพื่อไปติวเพื่อน ดังนั้นการใช้ประโยชน์จากแรงจูงใจภายนอกที่จะเล่าถึงในบทความนี้คือการดูแลตัวเองเพื่อบริจาคโลหิตให้ผู้อื่น คนที่สุขภาพไม่แข็งแรงจะบริจาคไม่ได้เลย คนที่ผลตรวจเลือดดีหมดทุกตัวยกเว้นธาตุเหล็กไม่เพียงพอจะบริจาคไม่ได้เช่นกัน ดังนั้นหากจะบริจาคโลหิตให้ได้ต่อเนื่องก็ต้องดูแลสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงต่อเนื่องเช่นกัน จากประสบการณ์ของตัวเราเองที่บริจาคโลหิตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นครั้งที่ 59 พบว่าประโยชน์จากการดูแลตัวเองเพื่อตั้งใจบริจาคโลหิตมีดังต่อไปนี้ 1.เรื่องแรกที่เห็นชัดเจนคือเรื่องกิน หากก่อนบริจาคกินอาหารที่มีไขมันสูงเช่นข้าวมันไก่ เลือดที่ได้รับบริจาคจะใช้ไม่ได้เลยต้องทิ้ง ดังนั้นการดูแลตัวเองเพื่อให้บริจาคโลหิตได้จะบังคับให้ตัวเองฝึกกินอาหารที่ไม่มีไขมันสูงเกินไป จึงเป็นการดูแลสุขภาพตัวเองไปในตัวให้รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ ลดประเภทข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู และงดได้ในที่สุด 2.ในการบริจาคโลหิตธาตุเหล็กสำคัญที่สุด มีในไข่ ผักสีเขียว ดังนั้นเราต้องฝึกกินไข่และผักสีเขียวให้เป็นนิสัย จึงเป็นการเพิ่มกากอาหารทำให้ขับถ่ายคล่องเป็นผลดีต่อลำไส้ นอกจากนี้การขาดธาตุเหล็กทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ซึมตลอดเวลา มีผลให้ทำงานไม่มีประสิทธิภาพ แต่หากเราตั้งใจดูแลตัวเองให้มีธาตุเหล็กเพียงพอที่จะบริจาคได้ ตัวเราเองก็จะได้รับผลลัพธ์ที่ดีจากการมีธาตุเหล็กเพียงพอคือร่างกายตื่นตัว ไม่ง่วงซึม ไม่อ่อนเพลียระหว่างวัน ทำให้ว่องไวทำงานมีประสิทธิภาพ 3.ผู้ที่จะบริจาคโลหิตได้ร่างกายต้องแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัว เช่นโรคตับอักเสบ ดังนั้นเราจะระวังตัวเป็นพิเศษในการรับประทานอาหารกับผู้อื่นคือใช้ช้อนกลางเสมอเพราะไวรัสตับอักเสบบางประเภทติดต่อได้ทางน้ำลาย เช่นไวรัสตับอักเสบเอ ทำให้เรามีสุขนิสัยที่ดีในการกินร่วมกับผู้อื่น 4.ผู้ที่จะบริจาคโลหิตต้องนอนหลับให้เพียงพอ ดังนั้นเราต้องฝึกนิสัยการนอนให้เป็นระเบียบ ไม่ใช่ปปล่อยตามอารมณ์นอนตี 2 แล้วตื่น 6 โมงไปทำงานเพราะจะทำให้บริจาคโลหิตไม่ได้เดี๋ยวเป็นลม 5.ผู้ที่จะบริจาคโลหิตได้ความดันโลหิตต้องปกติไม่เป็นโรคความดันโลหิตต่ำหรือสูง ดังนั้นเราจะต้องดูแลตัวเองไม่กินอาหารเค็มเพราะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ต้องขยันออกกำลังกายเพื่อให้ความดันโลหิตปกติ และยังมีผลดีต่อการเต้นของหัวใจด้วย ขณะบริจาคจะมีการเก็บตัวอย่างโลหิตไปตรวจด้วยว่าสามารถนำไปใช้งานได้ไม่มีสิ่งแปลกปลอม เช่นเป็นไวรัสตับอักเสบ เป็นเอดส์ เป็นต้น นี้คือประสบการณ์จากตัวเราเอง ข้อสำคัญคือความอิ่มใจที่ได้มีโอกาสช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เพราะแม้จะมีผู้บริจาคเป็นประจำแต่เลือดในธนาคารเลือดก็ไม่เพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยโดยเฉพาะผู้ป่วยจากอุบัติเหตุเสียเลือดต้องใช้เลือดแต่ละครั้งเป็นจำนวนหลายถุง ในขณะที่เราบริจาคได้ครั้งละ 1 ถุง (450 มิลลิลิตร) และกว่าร่างกายจะผลิตเลือดเพื่อให้พร้อมบริจาคได้ใหม่ก็อีก 3 เดือน นั่นคือคน 1 คน บริจาคได้ไม่เกิน 4 ครั้งต่อปี นอกจากนี้ยังมีข้อกำหนดเรื่องอายุคือผู้บริจาคต้องมีอายุ 17 - 60 ปี หากเกิน 60 ปีเฉพาะผู้ที่เคยบริจาคต่อเนื่องมีโอกาสได้บริจาคต่อถึงอายุ 70 ปีโดยต้องผ่านการตรวจสุขภาพเพิ่มเติมตามเกณฑ์ ส่วนน้ำหนักตัวต้อง 45 กิโลกรัมขึ้นไปจึงจะบริจาคได้ ดังนั้นจะเห็นว่าไม่ใช่ทุกคนที่บริจาคได้ เมื่อคุณสมบัติเบื้องต้นครบก็ต้องสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคประจำตัวจึงเป็นการลดจำนวนผู้ที่มีคุณสมบัติลงไปอีก ดังนั้นจึงขอเชิญชวนผู้ที่มีคุณสมบัติเบื้องต้นผ่านเกณฑ์มาตั้งใจดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อบริจาคโลหิตกัน ไม่แน่ว่าวันหนึ่งเราอาจอยู่ในฐานะผู้รับบริจาคเองก็ได้ใครจะรู้ อ่านข้อมูลเพิ่่่่่่มเติมที่่่่เว็บสภากาชาดไทย เครดิตภาพ: ทุกภาพถ่ายเองโดยผู้เขียน