เมื่อมีการกล่าวถึงเรื่องราวเกี่ยวกับลัทธินาซีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ภาพจำของคนส่วนใหญ่ที่มีเหมือนกัน มักจะพุ่งเป้าไปที่ความโหดร้ายของนายพลอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ การสังหารหมู่ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว ชาวสลาฟ โรมา ผู้พิการทางสมอง และกลุ่มคนโฮโมเซ็กชวลกว่า 12 ล้านคน มีการทำสารคดีหรือภาพยนตร์ตีแผ่เรื่องราวความโหดร้ายทารุณของลัทธินาซีอยู่เรื่อยมา ปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุการณ์ดังกล่าวถือเป็นเรื่องเลวร้ายมากที่สุดในหน้าประวัติศาสตร์โลกเลยก็ว่าได้ แต่นอกจากผู้คนที่ถูกกวาดต้อนไปยังค่ายกักกันแล้วถูกสังหาร ยังมีคนที่หลุดรอดมาจากนรกขุมนั้นได้ อีกทั้งยังมีบันทึกอีกหลายฉบับที่เปิดโปงความชั่วร้ายของลัทธินาซีอีกหลายประเด็น แต่เรื่องที่สื่อหลายรูปแบบไม่ค่อยนำเสนอ และเชื่อว่าหลายคนอาจไม่เคยรู้มาก่อนนั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับ ซ่องโสเภณี (Brothel) ในค่ายกักกันเอาชวิตช์ ปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศโปแลนด์ (Auschwitz, Poland)ผู้เขียนเคยดูสารคดีเกี่ยวกับเรื่องราวในค่ายกักกันนาซี จึงรู้ว่ามีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่น่าสนใจ อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า เรื่องราวที่จะหยิบยกมาเล่าในครั้งนี้ คือการเปิดซ่องโสเภณีในค่ายกักกันเอาชวิตช์ เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นบันทึกของหญิงคนหนึ่งที่รอดจากเหตุการณ์สังหารหมู่ในครั้งนั้น และเธอเองเป็นหนึ่งในโสเภณีที่ต้องทำหน้าที่บำเรอนักโทษและทหารนาซีอยู่นานถึง 2 ปี ซึ่งบันทึกฉบับนี้ถูกค้นพบโดยนักวิจัยที่ทำการศึกษาเรื่องราวในค่ายกักกันนาซี แล้วตีแผ่ออกมาในรูปแบบสารคดี รวมทั้งบทความที่เป็นภาษาเยอรมันในเว็บไซต์ต่าง ๆ อีกหลายเว็บหญิงผู้นั้นเล่าว่า การเปิดซ่องโสเภณีเป็นความคิดของทหารนาซีนายหนึ่งคือ นายพล ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้โสเภณีทำหน้าที่บำบัดความต้องการทางเพศให้กับนักโทษในค่ายกักกันที่ขยันขันแข็ง รวมทั้งทหารนาซีที่มีผลงานดีเด่น ที่ค่ายกักกันเอาชวิตช์แห่งนี้ ซ่องโสเภณีที่ว่านี้ถูกสร้างเป็นอาคาร แบ่งห้องหับเอาไว้หลายสิบห้องเหมือนโรงแรมไม่มีผิด จะมีโสเภณีอยู่ประจำแต่ละห้องเพื่อให้พวกนักโทษและทหารผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาใช้บริการ บันทึกของหญิงผู้นั้นกล่าวไว้ว่า เธอจะต้องทำหน้าที่เป็นโสเภณีทุกวันเมื่อนาฬิกาของค่ายกักกันบอกเวลา 1 ทุ่มตรง และใช้เวลาบำเรอพวกนักโทษนานถึง 2 ชั่วโมงในแต่ละวันความจริงแล้วไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะเป็นโสเภณีได้ แต่ต้องผ่านการคัดเลือกจากหมอประจำค่ายกักกัน เมื่อถูกจับมาอยู่ค่ายกักกัก ผู้หญิงที่ผอมแห้งแรงน้อยจะถูกจับไปทำงานครัว ส่วนผู้หญิงที่หน้าตาพอดูได้ รูปร่างมีน้ำมีนวลจะถูกจับไปแต่งองค์ทรงเครื่อง ทำหน้าที่เป็นโสเภณีประจำค่าย เมื่อถึงเวลา 1 ทุ่มตรง พวกนักโทษที่ขยันทำงานจะได้รับคูปองเพื่อซื้อผู้หญิง ยกเว้นนักโทษชาวยิวและรัสเซียนที่จะไม่ได้รับโอกาสให้เข้าซ่อง แต่ถึงอย่างไรนักโทษพวกนั้นก็ต้องเข้าแถวรอคิวแบบไม่สามารถเลือกผู้หญิงได้ มีการกำหนดเวลาให้เข้าไปชำเราโสเภณีได้ไม่เกิน 15 นาที และบังคับท่าทางในการมีเพศสัมพันธุ์เพียงท่าเดียว โดยมีทหารนาซียืนควบคุมอยู่อย่างใกล้ชิด บันทึกของหญิงผู้นี้เล่าว่าเธอต้องรับแขกถึง 6 คนในคืนแรก ประสบการณ์อันเลวร้ายครั้งนั้นทำให้เธอเกือบเสียสติ แต่สิ่งที่เธอรู้สึกว่าโชคดีกว่าคนอื่นนั่นคือ พวกโสเภณีจะได้รับการเลี้ยงดูดีกว่าคนอื่น ๆ ทั้งอาหารการกิน การตรวจโรคจากหมอประจำกอง เพราะพวกนาซีมองว่าโสเภณีเป็นสิ่งของที่จะต้องดูแลให้มีสภาพการใช้งานที่ดีอยู่ตลอดเวลาแต่เมื่ออยู่ไปนาน ๆ พวกนักโทษไม่มีกะจิตกะใจจะใช้บริการจากซ่องโสเภณี เพราะการทำงานให้พวกทหารนาซีในแต่ละวันที่แสนหนักหน่วง ทำให้พวกนักโทษไม่มีเรี่ยวแรงที่จะไปบำบัดความต้องการทางเพศ อาหาร น้ำดื่ม และอิสรภาพกลายเป็นเรื่องสำคัญที่พวกเขาต้องทำงานหนักเพื่อแลกมันมา ทำให้ซ่องโสเภณีถูกลืมไปในช่วงหลัง แม้แต่หญิงผู้นั้นเองเมื่อหลุดพ้นจากค่ายกักกันมาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องราวดังกล่าวอีกเลย ชะตากรรมอันเลวร้ายของผู้หญิงในค่ายกักกันนาซีอีกหลายแห่งจึงถูกลบเลือนไปด้วย ดังนั้นเมื่อมีการพูดถึงความโหดร้ายของลัทธินาซี เราจึงไม่ค่อยเห็นการตีแผ่เรื่องราวเหล่านี้มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็ตามประเด็นเรื่องซ่องโสเภณีที่ผู้อ่านนำมาเล่าให้ฟัง เป็นเรื่องราวที่องค์กรพิทักษ์สตรีต่างยกมาเป็นกรณีศึกษาอยู่บ่อยครั้ง ในฐานะที่ผู้อ่านเป็นคนหนึ่งที่ศึกษาด้านประวัติศาสตร์ จึงขอให้เรื่องนี้เป็นบทเรียนให้กับผู้อ่านได้ตระหนักถึงความรุนแรงทางเพศและสิทธิมนุษยชน และยังเชื่ออีกว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงในค่ายกักกันนาซี คงเป็นเรื่องเลวร้ายที่จะขับเคลื่อนแนวคิดการต่อต้านการคุกคามทางเพศให้เกิดขึ้นได้จริงในสังคมปัจจุบันรูปภาพหน้าปก โดย Jean Carlo Emer : Unsplashภาพประกอบที่ 1 โดย Jean Carlo Emer : Unsplashภาพประกอบที่ 2 โดย Dimitrisvetsikas1969 : Pixabayภาพประกอบที่ 3 โดย JacekAbramowicz : Pixabay