เมื่อพูดถึงเทศกาลคริสต์มาส (Christmas Festival) ทำให้เราคิดถึงบรรยากาศแห่งความสุขตลบอบอวลอยู่ทั่วทุกมุมโลก เทศกาลวันหยุดยาวที่ครอบครัวได้ใช้เวลาร่วมกัน มื้ออาหารแสนพิเศษ เสียงดนตรีไพเราะและสนุกสนาน ความรื่นเริงบันเทิงใจเหล่านี้แม้จะเกิดขึ้นเพียงปีละหนึ่งครั้ง แต่ก็ทำให้ทุกคนอิ่มอกอิ่มใจจากการเฉลิมฉลองอันแสนอบอุ่น จากเหตุผลดังกล่าวนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายคนรักเทศกาลคริสต์มาส ไม่ว่าเราจะโตขึ้นไปอีกกี่ปี แต่วันคริสต์มาสก็ทำให้เราเหมือนได้ย้อนวัยกลับไปเป็นเด็กอยู่เสมอ แต่รู้หรือไม่ว่ามีใครบางคนที่ไม่ชอบวันคริสต์มาส และพยายามจะเปลี่ยนแปลงตำนานวันแห่งความสุขนี้ให้เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับลัทธิของตัวเอง เรากำลังพูดถึง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler) ผู้นำลัทธินาซีเยอรมันเหตุการณ์สุดเศร้าในหน้าประวัติศาสตร์โลกอย่าง การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว (The Holocaust) เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างแน่ชัดแล้วว่า ท่านผู้นำฮิตเลอร์รังเกียจเดียดฉันท์ชาวยิวมากขนาดไหน คราวนี้ปัญหาใหญ่สำหรับฮิตเลอร์นั่นคือ วันคริสต์มาส (Christmas Day) ซึ่งถือเป็นการเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติของพระเยซู แล้วพระเยซูก็เป็นชาวยิว นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่สำหรับฮิตเลอร์ที่ต้องการลบวันสำคัญที่ว่านี้ออกจากปฏิทิน ถอนรากถอนโคนจิตศรัทธาของพลเมืองภายใต้การปกครองของเขาชให้สิ้นซาก ล้างสมองให้ผู้คนหันมาศรัทธาต่อความเป็นชาตินิยมและบูชาลัทธิเชื้อชาติเยอรมัน แต่ความท้าทายครั้งนี้ไม่ง่าย เพราะอย่างที่บอกไปว่าคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความสุข หากผลีผลามและกระทำอย่างไม่ฉุกคิดให้ดี งานนี้จะพลิกตำนานที่มีมายาวนานให้หมดไปคงเป็นเรื่องที่ยิ่งกว่าเข็นครกขึ้นภูเขาสิ่งที่ฮิตเลอร์ทำจึงเป็นการค่อย ๆ ลบล้างความทรงจำของผู้คนที่มีมาอย่างยาวนาน ด้วยการโฆษณาเรื่องราวที่แต่งแต้มขึ้นใหม่ เทศกาลคริสต์มาสของฮิตเลอร์ไม่ใช่การเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู แต่วันที่ 25 ธันวาคมคือวันแห่งการมาของผู้กอบกู้ซึ่งก็คือเขาเอง คริสต์มาสจึงกลายเป็นเทศกาลเฉลิมฉลองเพื่อบูชาลัทธินาซีแทน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านผู้นำฮิตเลอร์ยังสั่งให้ศิลปินวาดรูปเทศกาลคริสต์มาส ด้วยการใส่ทหารนาซีลงไปในเหตุการณ์สำคัญ เช่น รูปวันประสูติ รูปการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสที่มีทหารนาซีประกอบฉาก สั่งให้ช่างภาพส่วนตัวอย่าง ไฮน์ริช ฮอฟมันน์ (Heinrich Hoffmann) จัดฉากวันคริสต์มาสขึ้นมาใหม่ เปลี่ยนซานตาครอสเป็นทหารนาซี เพื่อเป็นการเปลี่ยนแปลงความเชื่อของชาวคริสต์ให้เข้าใจว่า วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลของลัทธินาซีโดยแท้จริงไม่เพียงแต่เท่านั้น บรรดาขนมนมเนยที่รับประทานกันในเทศกาลคริสต์มาส ฮิตเลอร์ยังสั่งให้ใช้พิมพ์อบคุกกี้รูปสวัสติกะ (Swastika) สัญลักษณ์ของลัทธินาซีเยอรมัน ซึ่งภายหลังเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง พิมพ์อบคุกกี้ประเภทนี้ถูกแบนไม่ให้ใช้ทำขนมต่อไป ฮิตเลอร์ยังสั่งให้ กระทรวงโฆษณาการ ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญที่ทำหน้าที่โฆษณาชวนเชื่อให้กับลัทธินาซีเยอรมันมาตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยเข้ามาเปลี่ยนแปลงความเชื่อเรื่องซานตาครอส ปลุกปั่นว่าลุงซานต้าเป็นเทพแห่งสงครามตามความเชื่อของเยอรมนีที่จะมาทำลายล้างโลกใบนี้ ที่สำคัญยังออกกฎระเบียบห้ามทำการเฉลิมฉลองเทศกาลคริสต์มาสตามธรรมเนียมดั้งเดิม หากฝ่าฝืนถือว่าเป็นพวกชังชาติและจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงทั้งหมดคือสิ่งที่เราได้เรียนรู้ จากนโยบายของลัทธินาซีเยอรมันที่มุ่งหวังจัดการกับชาวยิวอย่างเด็ดขาด นอกจากจะกระทำด้วยความรุนแรงอย่างการจับไปเป็นนักโทษตามค่ายกักกัน และการสังหารหมู่ทั้งในเยอรมนีและประเทศพันธมิตรฝ่ายอักษะซึ่งเป็นการกำจัดทางกายภาพ นอกจากนี้ยังจัดการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม เปรียบเหมือนการถอดความทรงจำดั้งเดิมของคนส่วนใหญ่ทิ้งไป แล้วบรรจุความทรงจำใหม่เข้าไปแทนที่ แต่อย่างไรก็ตาม ความพยายามเปลี่ยนแปลงเทศกาลคริสต์มาสของฮิตเลอร์ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จ เมื่อฝ่ายอักษะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 นักโทษถูกปลดปล่อยพร้อมกับการปลดแอกความเชื่อภายใต้การล้างสมองของลัทธินาซีเยอรมัน ทำให้ปัจจุบันเทศกาลคริสต์มาสยังคงเป็นวันหยุดยาวที่คนทั่วโลกต่างรอคอยให้มาถึงอยู่เช่นเดิมเครดิตรูปภาพ- รูปภาพหน้าปก โดย Toni Cuenca : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 1 โดย Walter Chávez : UNSPLASH- ภาพประกอบที่ 2 โดย Loochanin : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 3 โดย WikimediaImages : PIXABAY- ภาพประกอบที่ 4 โดย Tim Mossholder : UNSPLASHบทความอื่น ๆ ของผู้เขียนที่เกี่ยวข้องกับลัทธินาซีเยอรมัน- รองเท้าริมแม่น้ำดานูบ อนุสรณ์แห่งความสูญเสีย- น้ำอัดลมกับนาซีเยอรมัน จากวิกฤตสู่นวัตกรรม