Series Review: 5 บทเรียนหลากชีวิตจาก Itaewon Class ไม่รู้ว่าช้าไปหรือเปล่าที่จะรีวิวซีรี่ส์เกาหลีเรื่องนี้ แต่ก็นั่นแหละ ผมเพิ่งได้รับชมซีรี่ส์เรื่องนี้จนจบเมื่อไม่นานมานี้ และดูเหมือนว่า จะมีอะไรให้เราได้เก็บเอามาพูดถึงกันมากทีเดียว ต้องยอมรับว่า ซีรี่ส์เกาหลีในยุค Netflix นี้ มีการพัฒนาบทให้มีอะไรมากขึ้น ทั้งทางด้านเนื้อหา จังหวะจะโคนในการกำกับ และเรื่องราวที่มี Dynamic ให้เลือดสูบฉีดได้เป็นอย่างดีกว่าแต่ก่อนเก่า ขณะเดียวกัน อะไรที่ดีอยู่แล้วก็เหมือนจะคงไว้อยู๋อย่างนั้น ซึ่งกับเรื่องนี้ก็เช่นกัน Itaewon Class เป็นเรื่องของ พัคแซรอย ชายหนุ่มนิสัยแปลกๆ ที่ไม่ค่อยแสดงความรู้สึกและชอบพูดจาตรงๆ กับทุกคน จนสร้างความแปลกแยกให้กับคนในโรงเรียน วันหนึ่งเขาสามารถสอบติดโรงเรียนตำรวจและกำลังจะมีอนาคตที่สดใส แต่แล้วในวันแรกของการเรียน เขาก็ไปมีเรื่องกับ ชางกึนวอน ขาใหญ่ประจำโรงเรียน ลูกเจ้าของบริษัทที่ทำธุรกิจยักษ์ใหญ่ด้านอาหารอันดับหนึ่งของเกาหลีชื่อ ชางกา เพราะเขาดันไปรังแก เด็กหนุ่มอย่าง ลีโฮจิน จนแซรอยทนไม่ไหวและต่อยกึนวอนไปด้วยความอยุติธรรมที่เขาได้พบเจอ สุดท้าย เขาถูกไล่ออกจากโรงเรียนพร้อมๆ กันกับที่พ่อของเขาซึ่งทำงานให้กับ ชางกา มานานหลายปี เพียงเพราะเขาไม่ยอมคุกเข่าขอโทษลูกชายของ แดฮี เจ้าของบริษัทชางกา เคราะห์กรรมยังไม่ทันแห้งหาย พ่อของเขาก็ต้องมาตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่ กึนวอน เป็นผู้ก่อขึ้น แต่เขากลับรอดจากคดี แถมส่ง แซรอย เข้าคุกอีกหลายปีในข้อหาทำร้ายร่างกาย ความแค้นทั้งหมดกำลังสุมกองไฟใหญ่โต และการชำระแค้นที่ใช้เวลาหลายสิบปีก็ยังไม่สายกำลังจะเริ่มต้นตัวเนื้อหาของเรื่องในภาพรวมนั้น มีประเด็นหนักแน่นและการแสดง รวมถึงการกำกับฉากที่ดีเยี่ยมจริงๆ ตลอดระยะเวลา 16 ตอนของเรื่องราว เราได้เห็นการชิงไหวชิงพริบ การ Twist ของเนื้อหา Background ของตัวละคร ที่เป็นเหตุเป็นผลกันต่อเนื่องไปจนจบ ความเฮฮาขำขัน โรแมนติกหวานซึ้ง อบอุ่นหัวใจ เป็นการเรียงร้อยเนื้อหาให้น่าติดตาม ขณะเดียวกันก็ชวนให้ขบคิดกับประเด็นต่างๆ ที่หนังใส่มาให้อย่างพอดีคำ สำหรับตัวละครแต่ละตัว การปิดจบเรื่องราวก็คลายปมของทุกตัวละครอย่างไม่มีข้อสงสัยอะไร รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในหนังนั้นถูกถ่ายทอดอย่างปราณีต ทำให้เป็นหนึ่งในซีรี่ส์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบเรื่องหนึ่งทีเดียว เหตุที่บอกว่ามันเกือบจะสมบูรณ์แบบ เพราะมันยังมีส่วนที่เป็นบาดแผลประปราย อย่างการที่มันมุ่งที่จะเป็นหนังเพื่อคนหลายกลุ่ม ทำให้บางฉากบางตอนนั้น กร่อย และไม่เข้ากับเนื้อหาที่หนักแน่นมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ ที่เราจะได้เห็นอะไรในแบบที่ละครไทยเมื่อช่วงสิบยี่สิบปีที่แล้วทำกัน ซึ่งแม้ว่าคุณค่าของตัวเรื่องในภาพใหญ่จะไม่ได้สูญเสียไป แต่ก็ทำให้ระดับที่ควรจะเป็นของซีรี่ส์ถูกลดทอนลงอย่างน่าเสียดายเมื่อติดตามไปจนจบ *** เนื้อหาที่จะพูดถึงต่อไปนี้ อาจมีการสปอยล์เนื้อเรื่องบางส่วนเพื่อนำมาวิเคราะห์วิจารณ์ หากไม่ต้องการให้เสียอรรถรสในการรับชม โปรดข้ามตรงนี้ไปได้เลยครับ *** ทีนี้เรามาดูกันบ้างว่า มีปมประเด็นอะไรที่น่าสนใจบ้าง และทำไมมันถึงโด่งดังเป็นพลุแตกอยู่พักหนึ่งได้ขนาดนี้Itaewon Class มันคืออะไรกันแน่ชื่อบริษัทของกลุ่มพระเอกที่ใช้เรียกๆ กันนั้น เกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลที่ว่า ร้านอาหารร้านแรกของพวกเขาตั้งอยู่ใน เขต Itaewon ย่านการค้าแห่งหนึ่งที่พระเอกเลือกมาตั้งรกรากในการขยายธุรกิจอาหารของตนเอง คำว่า Class ในความหมายมันอาจหมายถึง ชนชั้น ดังนั้น มันก็คงไม่น่าแปลกเท่าไหร่ที่เนื้อหาในซีรี่ส์เรื่องนี้ วนเวียนอยู่กับเรื่องนี้เป็นแกนหลัก เหล่าบุคคลชายขอบในสังคมถูกรวบรวมมาไว้ในบริษัทแห่งนี้ ทั้งคนคุกที่เพิ่งพ้นโทษออกมา สาวโรงงานที่เป็น Transgender ชาวต่างชาติผิวสีที่ถูกกีดกันจากสังคม ลูกนอกสมรสที่ไม่มีใครเหลียวแล และสาว Sosiopath ต่อต้านสังคมจนต้องเข้ารับการบำบัดทางจิต ที่ปากคอเราะร้าย ด้วยการมองโลกอันเป็นรูปแบบเฉพาะของพวกเขา คนเหล่านี้ถูกสังคมมองเป็นอีกชนชั้นหนึ่งที่แปลกแยก แตกต่าง และออกจะทำให้พวกเขาไม่ได้มีจุดยืนในสังคมเลย แต่ขณะเดียวกัน อีกความหมายหนึ่งของ Class มันก็คือ วิชาเรียน พวกเขาซึ่งบางคนมี Background ที่ไม่ได้เรียนจบมหาลัยมีชื่อ ถูกตัดโอกาสในชีวิตเพราะมีคดีติดตัว หรือเหตุการณ์เล็กๆ อย่างการที่ตัวละครสาวข้ามเพศ ฮยอนฮี ที่เริ่มต้นด้วยการเป็นคนที่ทำอาหารไม่อร่อย ก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้นจนเป็นระดับผู้ชนะการแข่งขันทำอาหารรายการดัง หรือโทนี่ หนุ่มแอฟริกันลูกครึ่งเกาหลี ที่พูดภาษาอังกฤษกับลูกค้าต่างชาติไม่ได้ ตัวหนังเองก็ยังอุตส่าห์เก็บรายละเอียดเล็กๆ ตรงนี้ไว้ และเผยให้เราได้รับรู้ในตอนท้ายว่า เขาพูดภาษาอังกฤษได้ในที่สุด บริษัทแห่งนี้จึงไม่ได้เป็นแค่บริษัทที่มีขึ้นให้พวกเขาได้เรียนรู้การทำธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นคลาสเรียนที่นำพาให้พวกเขาได้เรียนรู้ทักษะชีวิตต่างๆ กันไปในแต่ละตัวบุคคลด้วยครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่จำเป็นต้องมีครบองค์ประกอบสิ่งหนึ่งที่ตัวละครแทบทุกตัวมีพื้นฐานเหมือนกันคือ ครอบครัวไม่ได้สมบูรณ์พร้อม พระเอกมีเพียงพ่อคนเดียว ซูอาเป็นเด็กกำพร้า อีซอมีครอบครัวที่หย่าร้างและอยู่กับแม่สองคน แม้แต่ฝั่งชางกา กึนวอนก็มีเพียงพ่อ ส่วนกึนซูที่เป็นลูกนอกสมรส แม้จะมีทั้งพ่อและแม่ แต่ก็ไม่มีใครสนใจเลย แต่สิ่งที่ตัวซีรี่ส์สอนใจเอาไว้เสมอก็คือ พ่อแม่เป็นแบบอย่างที่ดีของลูกเสมอ พ่อของแซรอยมีอุดมการณ์อันแรงกล้าที่ทำให้ตัวของแซรอยเองเลือกยึดถือตามจนประสบความสำเร็จ ซูอาที่กลายเป็นคนเย็นชาเข้าหายากเพราะแม่ที่ทิ้งให้เธอกำพร้าทำให้เธอต้องเอาตัวรอดด้วยตัวเอง แม่ของอีซอที่มีลูกเป็นความหวังเดียว แต่สุดท้ายเมื่อเข้าใจกัน ทุกอย่างก็พลันกลับมามีความสุขแม้ไม่มีพ่อ ฝั่งกึนวอนก็เช่นกัน ด้วยความที่พ่อไม่รัก ถึงขนาดที่ยอมส่งลูกตัวเองเข้าคุกเพื่อรักษาหน้าตาของบริษัทไว้ ก็ทำให้เกิดผลพวงที่ตามมาเป็นลูกโซ่ หรือกึนซูที่ค่อยๆ ซึมซับความเลือดเย็นของพ่อเข้ามาทีละนิดละน้อยจนกลายเป็นคนละคนกับตอนแรก ทั้งหมดนี้สอนใจว่า ครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้ทำให้เด็กที่เกิดมามีปัญหาในอนาคตหรอก แต่เป็นที่ตัวของพ่อหรือแม่ที่ยังเหลืออยู่ต่างหาก ว่าพวกเขามีวิธีเลี้ยงดูลูกอย่างไรคุณค่าในตัวเอง ตัวเองเป็นคนกำหนดคนคุกอย่าง ซึงควอน พร่ำบอกกับตัวเองในช่วงแรกว่า การเป็นคนคุกก็เท่านั้น ไม่มีใครคิดที่จะรับเขาเข้าทำงานหรอก แต่พระเอกกลับบอกว่า ตัวเขานั้นก็เป็นแค่เพียงคนขี้ขลาดที่มองตัวเองอย่างที่เป็น เมื่อคิดได้ จึงพบว่า อดีตโจรที่เป็นลูกกระจอกของนายใหญ่ที่ชอบแต่จะใช้กำลังนั้น เมื่อได้ลองหยิบจับทำอะไร ทุกอย่างก็เป็นไปได้ถ้าเราตั้งใจ เช่นเดียวกับโทนี่ ที่ถูกคนรอบข้างบอกเสมอว่าตัวเขานั้นเป็นแอฟริกันไม่ใช่เกาหลี แต่เขายืนกรานในตัวตนของตัวเอง และมันกลายเป็นเกราะที่ใครๆ ก็ทำอะไรเขาไม่ได้ อีกซีนหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นซีนทรงพลังที่ทำให้เนื้อเรื่องพีคไปถึงจุดสุดยอดก็คือ เส้นเรื่องของ ฮยอนฮี กับรอบตัดเชือกการทำอาหาร เมื่อเธอถูกคู่แข่งปล่อยข่าวเรื่องที่เธอเป็นหญิงข้ามเพศ จนทำให้เธออับอายขายหน้าและลังเลที่จะแข่งขันต่อ แต่แล้วพระเอกกลับปลอบประโลมว่า เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองให้ใครๆ เห็นว่าเราเป็นอย่างไร เธอจะหนีไปเลยก็ยังได้ ถ้าเธอสบายใจจะทำ ก่อนที่จะมีคำพูดของ ซึงควอนที่คุยกับโทนี่ว่า โลกมีกฏอันเป็นธรรมชาติของมันที่ชายจะอยู่อย่างชาย หญิงจะอยู่อย่างหญิง แต่เธอกลับไม่ทำตามกฏ แต่นั่นทำให้ฉันอิจฉา เพราะเธอเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ตนเองอยากจะทำ เป็นประโยคที่ฮุคใส่ตัวผมเองที่ก็เป็นเกย์ และอยู่ในสังคมที่คล้ายกันเข้าอย่างจัง ถ้าเป็นหนังเรื่องอื่นๆ การชนะรายการก็เหมือนการพิสูจน์ตัวเอง แต่การทำแบบนั้นเท่ากับเป็นการสร้างค่านิยมว่า บุคคลเหล่านี้ต้องเก่ง ถึงจะเป็นที่ยอมรับได้ แต่กับเรื่องนี้ ที่ท้ายที่สุดแม้จะชนะรายการ แต่ก็เพราะความสามารถ และเธอไม่ได้ต้องการพิสูจน์ตัวเองให้ใครๆ เห็นอย่างที่กล่าวไป ซีนที่ประกาศว่าเธอคือผู้ชนะ จึงไม่ได้เป็นผู้ชนะในฐานะเชฟที่เก่งที่สุดในรายการ แต่คือการประกาศชัยชนะว่าเธอจะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมานิยามตัวเธออีกต่อไป เพราะความมั่นใจของเธอเองทำให้เธอชนะการแข่งขัน โดยที่ไม่ต้องการความสงสารหรืออภิสิทธิ์ของการเป็นคนแปลกแยกมาทำให้เรื่องราวเป็นไปอย่างนั้นคนที่ใช่ ไม่เกี่ยวกับเวลา แต่เกี่ยวกับความน่าจะเป็นจังหวะเวลาของ แซรอยกับซูอานั้นเปิดกว้างเสมอตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีในเรื่อง แต่เพราะอะไรในตอนจบ คนที่คว้าหัวใจแซรอยไปครองกลับไม่ใช่เธอหล่ะ? นั่นก็เพราะว่า ในช่วง 15 ปีนั้น ทั้งเขาและเธอเลือกที่จะทำสิ่งที่ตัวเองต้องทำ เพื่อมีชีวิตต่อไป สถานะจากคนที่เหมือนจะรักกันได้ เลยกลายเป็นเพียงเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอในตอนท้าย แม้จะต้องเจ็บปวด แต่มันคือความจริงที่ทั้งสองคนได้เผชิญมา ขณะที่อีซอ ที่อายุห่างกันเกือบสิบปี ก็ใช้เวลาพิสูจน์ว่าความรักไม่จำเป็นต้องมีข้ออ้าง ทั้งเรื่องอายุหรืออะไรก็ตาม แม้จะมีหลายๆ เสียง บ่นอุบว่า อีซอ ไม่เหมาะสมกับแซรอยสักนิด แต่ส่วนตัวผมแล้ว ผมมองว่า มันเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ถ้าเป็นในชีวิตจริง แซรอยก็อาจจะไม่เลือกใครเลยในชีวิตก็ได้ เพราะเมื่อมันไม่ใช่ ก็คือไม่ใช่ แต่บังเอิญว่า เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มขมวดและชัดเจนขึ้น คนที่เคยไม่ใช่ก็เป็นคนที่ใช่ได้ และคำที่บอกว่า คำว่ารัก ไม่ต้องพยายาม นั้นเป็นเรื่องที่ผิด เพราะพอพูดถึงความรัก เอาจริงๆ มีใครรู้บ้างว่าอะไรจะยืนยง ถ้าให้นิยามความรักในแบบฉบับของผม ก็คงต้องบอกว่า มันก็คือความน่าจะเป็นดีดีนี่เอง อยู่ที่ว่าคุณจะกล้าเสี่ยงกับผลลัพธ์ที่คาดไว้มากน้อยแค่ไหนปลาใหญ่กินปลาเล็กนั้นจริงแท้ ปลาเล็กกัดปลาใหญ่จนตายก็เช่นกันสำนวนที่ท่านประธาน ชางแดฮี ชื่นชอบที่สุดคือ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทุกธุรกิจบนโลกใบนี้เป็นไปเช่นนั้น เพราะมีคนมากมายที่ลงมาในบ่อปลาแห่งนี้เพื่อหวังจะเติบโตและร่ำรวย ไม่ว่าด้วยวิธีการใดก็ตาม แต่สุดท้าย ถ้าคุณไม่แข็งแกร่งพอ คุณก็จะโดนงาบไปได้ในที่สุด ไม่เว้นแม้กระทั่ง ชางกาง ที่ตัวท่านประธานเอง ถึงแม้จะใหญ่โตคับฟ้า แต่เมื่อพลาดพลั้งหรืออ่อนแอขึ้นมา ก็พร้อมที่จะมีปลาที่ใหญ่กว่ามาคาบกินไปในที่สุด เราหนีมันไม่พ้น แต่เราหลีกเลี่ยงมันได้ อย่างที่แซรอยได้บอกไว้ว่า คนคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอด ไม่ใช่เงินทุน ซึ่งจริงๆ มันอาจมองได้ว่า นี่มันช่างโลกสวยเสียจริงๆ แต่ถ้าลองมองภาพรวมดูแล้ว ความไว้ใจที่แซรอยมีให้กับทุกคน นำพาบุคคลที่มีลักษณะเดียวกันเข้ามา และทำให้พวกเขาเชื่อว่าตัวเองสามารถจะพาบริษัทไปสู่ความสำเร็จได้ คำพูดที่ท่านประธานกล่าวว่า ลูกน้องก็คือหมาที่ทำให้เชื่อง ดูเหมือนจะถูก แต่แท้จริงแล้ว ลูกน้องที่ทำให้เชื่องก็อาจย้อนกลับมาแว้งกัดได้เช่นกัน อย่างที่ซูอาเลือกที่จะแฉจนบริษัทชากาล่มไปไม่เหลือชิ้นดีในตอนท้ายเรื่อง สิ่งนี้เพราะการควบคุมที่เกิดจากความกลัว ไม่ใช่ความไว้เนื้อเชื่อใจนั่นเอง ที่ทำให้ท่านประธานเองพลาดเอาได้ง่ายๆ*** พ้นเขต สปอยล์ ***ทั้งหมดนี้ก็คือข้อคิดชีวิตที่ไม่น่าเชื่อว่าซีรี่ส์ความยาวแค่ 16 ตอนจะมอบให้กับผมได้กลับมาขบคิดและทบทวน รวมถึงนำไปใช้ในชีวิตได้ ถือเป็นซีรี่ส์น้ำดีที่ถึงแม้ส่วนตัวจะไม่ได้มองว่าดีเยี่ยมที่สุด แต่มันก็มีคุณค่าพอให้ท่านผู้อ่านได้ลองไปรับชมกันดูได้ครับผม โดยซีรี่ส์เรื่องนี้สามารถรับชมได้ผ่านช่องทาง Netflix แล้วคุณจะติดใจเรื่องนี้โดยไม่รู้ตัวเหมือนผมเครดิตรูปภาพทั้งหมดรวมภาพปกที่มีการแก้ไข เป็นการ Capture จากคลิป Itaewon Class | Official Trailer | Netflix ของช่อง Netflix Asia ซึ่งผู้อ่านสามารถคลิกชมได้