คุณผู้อ่านเคยอยู่ในจุดที่ต้องเลือกกันบ้างไหมครับ...ประเด็นสำคัญในการดำเนินชีวิตคงไม่พ้นเรื่องความรัก ความฝัน และหน้าที่การงาน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีผลทางด้านความมั่นคงในชีวิต หากคุณโชคดีหน่อย ความฝันของคุณและการงานที่มั่นคงอาจจะเผอิญเป็นสิ่งเดียวกัน แต่ชีวิตคนส่วนใหญ่ไม่ได้โชคดีแบบนั้นหรอกครับ ถ้ามันต่างกันไปคนละทางเลยล่ะ...นั่นล่ะคือจุดที่คุณต้องเลือกแล้ว ยิ่งสำหรับคนที่มีความรักมาเกี่ยวข้องด้วยยิ่งไปกันใหญ่ การตัดสินใจของคุณอาจจะยากขึ้นไปอีก ถ้าหากคนรักของคุณไม่ชอบในสิ่งที่คุณเลือก ผมมีภาพยนตร์อยู่เรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำให้คุณผู้อ่านได้ลองไปชม นั่นคือ "La La Land" ซึ่งมันเป็นภาพยนตร์ Musical ครับ อ่านมาถึงตรงนี้แล้วอย่าเบือนหน้าหนีนะครับ หนังเรื่องนี้มีการร้องเล่นเต้นรำกันก็จริง แต่มันไม่ใช่ทั้งหมดของตัวหนังหรอกครับ เชื่อผมเถอะ มันจะมาในจังหวะที่เหมาะสมกับตัวหนังมากๆ และคุณพร้อมที่ปล่อยใจไปตามอารมณ์ที่เขาต้องการจะสื่อแน่นอน La La Land เป็นภาพยนตร์มิวสิคเคิล เข้าฉายเมื่อปี 2016 ว่าด้วยเรื่องของหนุ่มสาวสองคนที่เข้ามาใช้ชีวิตที่ Los Angeles เมืองหลวงของภาพยนตร์ Hollywood ด้วยความหวังที่ว่าจะได้เฉิดฉายบนเส้นทางที่ตนเองฝันเอาไว้ ภาพยนตร์เรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยสองตัวละครหลักคู่ขนานกันไป ตัวหนังโฟกัสที่ตัวละครทั้งสองตัวนี้เท่าๆกันเลยครับ ซึ่งมันลงตัวมากๆ หากขาดการเล่าเรื่องของตัวละครไหนไป มิติของหนังคงจะตกลงไปมาก Mia สาวที่มีความฝันอยากเป็นดาราดัง เธอทำงานในร้านกาแฟที่อยู่ในสตูดิโอถ่ายหนัง เธอมุ่งมั่นกับความฝันในการเป็นนักแสดงมาก จึงเรียนมหาลัยถึงแค่ปี 2 ก็ลาออก แล้วมาเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่กับเพื่อนใน LA เธอตระเวนไปออดิชั่นทดสอบบทต่างๆ แต่ก็ไม่ได้รับเลือกสักที Sebastian หนุ่มนักเปียโนมาดเซอร์ เช่าอพาร์ทเม้นอยู่ใน LA คอยรับงานเล่นดนตรีไปเรื่อย ซึ่งดูเหมือนการงานจะไม่คอยมั่นคงเท่าไหร่นัก มีความฝันอยากจะเปิดร้านดนตรีกลางคืนของตัวเองที่จะเล่นเฉพาะดนตรีแจ๊สขนานแท้เท่านั้น ซึ่งด้วยความที่เขาอยากเล่นแต่ดนตรีแจ๊สเท่านั้นนี่แหละทำให้ไม่ค่อยมีที่ไหนอยากจ้างเขาไปเล่นดนตรี หนุ่มสาวทั้งสองบังเอิญได้มาเจอกันและนั่นทำให้เรื่องราวดำเนินไป เรื่องราวจะเป็นอย่างไร? พวกเขาลงเอยกันหรือไม่? พวกเขาจะได้เป็นตามที่ฝันไว้ไหม? ขอให้ตามไปชมกันด้วยตนเองนะครับ ประสบการณ์ครั้งแรกที่ผมได้รับชมภาพยนตร์เรื่อง La La Land ในโรงภาพยนตร์มันอ้างว้างมากๆ เพราะในโรงภาพยนตร์มีผู้ชมเพียงสองคนเท่านั้น ซึ่งเข้าใจได้ว่าคนทั่วไปไม่ชอบภาพยนตร์แนวนี้ เพราะผมเองก็ไม่ได้ชอบสักเท่าไหร่ หากผมรู้ก่อนที่จะได้ชมว่ามันเป็นภาพยนตร์ Musical ผมก็คงจะไม่ได้ไปดูเหมือนกันครับ ในวันนั้นผมไปดูเพราะมีหลายๆคนแนะนำ และผมได้ลองฟังเพลงประกอบของภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วมันเพราะดี นั่นคือเพลง 'City of stars' ผมฟังซ้ำบ่อยมาก จนมีความรู้สึกว่ายังไงก็ต้องไปดูภาพยนตร์เรื่องนี้ให้ได้ จุดเด่นหลักๆ ที่ทำให้ผมแนะนำภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ เรื่องของดนตรีและเพลงประกอบนี่แหละ แต่ผมขอตัดคำว่า 'ประกอบ' ออกดีกว่า เพราะสำหรับภาพยนตร์มิวสิคเคิลแบบนี้นั้น เพลงคือส่วนสำคัญที่ช่วยพยุงหนังทั้งเรื่อง มันมีบทบาทที่สำคัญพอๆกับตัวละครเลยล่ะครับ เพลงทุกเพลงที่อยู่ภาพยนตร์เรื่อง La La Land นั้น ผมกล้ายืนยันได้เลยว่าดีเยี่ยมทุกเพลงครับ โดยเฉพาะเพลงที่เป็นธีมหลักของเรื่องคือ 'City of stars' ทุกครั้งที่เพลงนี้ขึ้นมาน้ำตาผมแทบไหล มันซาบซึ้งมาก เมื่อเพลงนี้ประกอบกับจังหวะที่ดีของหนังและการนักแสดงที่ดีของนักแสดง มันทำให้ดึงอารมณ์ออกมาได้อย่างดีเยี่ยมเลย ภาพยนตร์มิวสิคเคิลอื่นๆที่ผมเคยดูมา ในจังหวะที่เพลงขึ้นและเข้าสู่โหมดมิวสิคเคิลผมจะรู้สึกตราตรึงในแง่ของโชว์ประกอบเพลงซะมากกว่า ผมบอกไม่ถูกเหมือนกัน มันจะมีความอลังการของเพลงและโชว์ที่ดูเว่อร์วัง แต่สำหรับในภาพยนตร์เรื่องนี้แม้มันจะแปะหน้าว่าเป็นมิวสิคเคิล แต่ผมไม่ได้รู้สึกว่ามันเว่อร์วังอะไรเลย ส่วนใหญ่มันจะมาในโมเม้นต์ของความโรแมนติกเท่านั้น มาแบบพอดีๆ ไม่เยอะไม่น้อยเกินไป มาในจังหวะที่พอดีกับอารมณ์ของหนัง เมื่อมันเปลี่ยนจากโหมดปกติไปสู่มิวสิคเคิล เราจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจอะไรเลย ด้วยเพลงและดนตรีที่เหมาะสมและมาในจังหวะที่ถูกต้อง ทำให้เราอินไปกับเรื่องราวในหนังได้อย่างง่ายๆ เทคนิคการถ่ายทำของภาพยนตร์เรื่องนี้นั้น สำหรับผมไม่มีข้อติเลย เทคนิคมุมกล้องดี การตัดต่อการดี ทุกอย่างดีหมด โดยเฉพาะโทนสี ผมโทนสีของเรื่องนี้มาก เค้าทำสีของหนังออกมาให้ได้อารมณ์ความโรแมนติกอย่างบอกไม่ถูกเลยล่ะครับ ในด้านของการแสดง ผมชื่นชอบทั้ง Emma Stone และ Ryan Gosling ทั้งสองคนนั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม ผมว่าทั้งสองคนนี้ในด้านการแสดงไม่มีใครแพ้กันเลย เป็นการคัดเลือกนักแสดงมาได้เหมาะสมกันที่สุดแล้วครับ ทั้งสองคนสวมบทบาทได้อย่างลงตัว และผมได้ไปค้นหาดูเกี่ยวกับเบื้องหลังการถ่ายทำก็พบว่าก่อนหน้านี้ Ryan Gosling ไม่ได้เล่นเปียโนเป็นอยู่แล้ว เขาจำเป็นต้องไปฝึกฝนก่อนที่จะมาถ่ายทำ เขาใช้เวลาฝึกอยู่ประมาณหนึ่งปีเลยครับ ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เขาเล่นได้อย่างมืออาชีพมากๆ ผมประทับใจทุกครั้งที่เขาเล่นเปียโน โดยเฉพาะเมื่อเขาเล่นเพลง 'City of stars' เขาดูหล่อและเท่มาก ขนาดผมเป็นผู้ชายแท้ๆ ยังรู้สึกเลยว่าผู้ชายคนนี้มีเสน่ห์มาก ซึ่งการแสดงของนักแสดงนำทั้งสอง ดีจนถึงขั้นได้เข้าชิงสาขาการแสดงของเวที Oscar เลยล่ะครับ ฝ่ายหญิงดีถึงชั้นชนะรางวัลเลยครับ ส่วนรางวัลอื่นๆ ที่ชนะเลิศในเวที Oscar ก็ได้แก่ ดนตรีประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, กำกับภาพยอดเยี่ยม และการออกแบบยอดเยี่ยมครับ นอกจากนั้นยังได้เข้าชิงในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วยนะครับ เรียกได้ว่าเป็นการการันตีคุณภาพของภาพยนตร์เรื่องนี้ได้เป็นอย่างดีเลยล่ะครับ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง La La Land คือคุณ 'Damien Chazelle' นะครับ ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขาคือเรื่อง 'First man' ฉายไปเมื่อปี 2018 ซึ่งดีมากเช่นกันครับ และอีกเรื่องที่ผมอยากแนะนำก็คือเรื่อง 'Whiplash' เป็นเรื่องแรกที่ผมได้รับชมจากผู้กำกับคนนี้ ซึ่งประทับใจไม่แพ้เรื่อง La La Land เลยล่ะครับ ด้วยอายุเพียง 34 ปีของเขา แต่สร้างภาพยนตร์ออกมาได้ยอดเยี่ยมในระดับนี้ ผมเชื่อว่าในอนาคตเขาจะต้องมีภาพยนตร์ดีๆออกมาให้เราได้รับชมกันอีกเยอะอย่างแน่นอนครับ อย่างไรก็ตามสำหรับในบทความนี้ผมต้องขอลาคุณผู้อ่านไปเพียงเท่านี้ครับ ขอบคุณที่อ่านมาจนจบนะครับ :)ภาพ La La Land ทั้งหมดจาก IMDb