หลังจากที่โรงภาพยนตร์เปิดตัวขึ้นอีกครั้งในวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา ก็เรียกได้ว่าขนภาพยนตร์ที่ฉายไปในช่วงต้นปีกลับมาเต็มเพราะยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่ได้ดู รวมถึงหนังใหม่ ๆ นั้นก็ถูกเลื่อนจากสตูดิโอผู้สร้างเกือบทั้งหมด นั่นทำให้หนัง Thriller/Horror/Sci-Fi อย่าง The Invisible Man กลับเข้าโรงภาพยนตร์อีกครั้งหนึ่ง ซึ่งสร้างจากสตูดิโอ Blumhouse ที่รู้จักกันมากหากใครเป็นแฟนหนังสยองขวัญสั่นประสาทไม่ว่าจะเป็น The Purge, Insidious, Get Out, Halloween, Paranormal Activity และอื่น ๆ อีกมากมาย โดยเป็นการตีความใหม่ของภาพยนตร์มอนสเตอร์มนุษย์ล่องหนที่โด่งดังมากในยุคก่อน และยังได้ Elisabeth Moss นักแสดงแถวหน้าของวงการภาพยนตร์และทีวีกับซีรีส์ที่เธอรับบทนำอย่าง The Handmaid's Tale ขอบอกเลยว่าเรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่อยากให้ทุกคนได้ดูในโรงภาพยนตร์มาก ๆ ส่วนเรื่องราวจะสนุกมากน้อยขนาดไหนลองอ่านรีวิวก่อนได้นะครับ (บทความนี้จะไม่สปอยล์เนื้อหาหลักของภาพยนตร์)เรื่องย่อ หลังจากตกอยู่ในความสัมพันธ์ที่สุดแสนจะทรมาน เต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง Cecilia Kass (Elisabeth Moss) นั้นก็หนีจากสามีของเธอได้สำเร็จ แต่แล้วสองอาทิตย์ถัดมาก็ต้องได้รับข่าวว่าเขาเสียชีวิตจากการฆ๋าตัวตายแล้ว ทุกอย่างที่ดูเหมือนจะจบลงก็ไม่จบเพราะตั้งแต่นั้นมาเธอรู็สึกเหมือนถูกสะกดรอยตามโดยอะไรก็ไม่รู้ที่มองไม่เห็น เหมือนกับถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา เธอยังเชื่อว่าสิ่งที่มองไม่เห็นนั้นเป็นอดีตสามีของเธอ แต่มันจะเป็นไปได้จริง ๆ เหรอ ในเมื่อเขาน่าจะต้องตายไปแล้ว ? รีวิวสิ่งหนึ่งที่ต้องชมหนังเรื่องนี้เลยคือ การเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น โดยการถ่ายห้องหรือสถานที่ต่าง ๆ เหมือนเรากำลังมองผ่านสายตาของ Cecilia สิ่งที่เราเห็นก็เป็นพวกเฟอร์นิเจอร์ในห้องที่เธออยู่คนเดียว แต่นั่นแหละคือความน่ากลัว การถ่ายภาพแบบนี้ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าในความว่างเปล่านั้นมีอะไรที่เรามองไม่เห็นกำลังจ้องกลับมาหาเราอยู๋ มันค่อนข้างแตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นที่ค่อย ๆ ปรับอารมณ์คนดูด้วยฉากกับเสียงเพลง พร้อมทั้งปล่อย Jumpscare (ฉากตุ้งแช่) ที่คนดูจะเห็นหน้าผีแบบชัด ๆ หรือผีออกมายืนเป็นตัว ในขณะที่ The Invisible Man ใช้ความที่เราไมรู้ว่าเจออะไรมาสร้างความกลัวแทน และฉากว่าง ๆ นั้นเองที่ผู้กำกับสามารถใส่กิมมิคอะไรไปได้เพิ่มเติมอีกเช่นของตก ควันออกมาจากไหนไม่รู้ รอยเท้า รอยมือต่าง ๆ ที่มันทวีคูณความวิตกกังวลของนางเอกไปอีก ส่วน Conflict อีกเรื่องที่นางเอกต้องเจอคือการทำยังไงก็ได้ให้คนอื่นเชื่อในสิ่งที่ตัวเองกำลังประสบเพราะมันไม่ใช่เรื่องที่คนอื่นจะทำความเข้าใจได้ง่าย ๆ ถ้าอยู่เธอเดินไปบอกน้องสาวว่า "ช่วยพี่ด้วย พี่โดนมนุษย์ล่องหนเล่นงานอยู่" คนรอบข้างอาจจะไปตีความว่าเธอมีปัญหาทางจิตเป็นผลสืบเนื่องจากความสัมพันธ์แย่ ๆ ในตอนนั้นการตีความที่ผมเกริ่นถึงในหัวเรื่องนั้นคือเวอร์ชันนี้ตัวมนุษย์ล่องหนนั้นไม่ได้เป็นเพียงแค่ภาพแทนของมอนสเตอร์เท่านั้นแต่ยังเปรียบถึง ความรุนแรงอีกด้วย สารอย่างหนึ่งที่เราสามารถเห็นได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้คือความรู้สึกการที่นางเอกตกเป็นเหยื่ออยู่ตลอดเวลาทั้งตอนที่สามียังมีชีวิตอยู่หรือแม้กระทั่งตอนที่ได้รับข้าวว่าเขาฆ่าตัวตาย Cecilia ไม่เคยรู้สึกปลอดภัยเลยจนไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างปกติได้แม้จะหนีออกมาแล้ว มากกว่าไปนั้นเธอยังโดนมนุษย์ล่องหนเล่นงานอีก ผมเชื่อว่าการที่เขาใช้มอนสเตอร์ตัวนี้เป็นภาพสะท้อนถึงสารที่จะสื่อเพราะว่าในปัจจุบันนั้นหลายต่อหลายครั้งที่เราจะปิดตาข้างหนึ่งเพื่อทำเป็นไม่เห็นปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวไม่ว่ากับภรรยาหรือตัวเด็ก รวมถึงพยายามที่จะควบคุมทุก ๆ อย่างให้เป็นไปตามที่เขาต้องการ ถ้าให้เห็นภาพชัด ๆ ในไทยนั้นมีคำพูดติดหูคือ "เรื่องของครอบครัว คนนอกอย่ายุ่ง" ซึ่งถ้าลองมามองดี ๆ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความผิดข้อหาทำร้ายร่างกาย การที่เราเพิกเฉยต่อปัญหา ทำให้คนที่ใช้ความรุนแรงต่อคนอื่นเปรียบเสมือนกับมนุษย์ล่องหน ราวกับว่าเราเองที่มอบอำนาจให้เขาจะทำอะไรก็ได้ เพราะท้ายที่สุดก็ไม่มีใครสนใจเขาอยู่ดี คนที่จะรับรู้ความเจ็บปวดทั้งหมดก็มีเพียงแค่ผู้ถูกกระทำ ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดและจริง ๆ แล้วเราต่างหากที่ควรจะช่วยเท่าที่เราทำได้ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเจ้าหน้าที่ถ้าเหตุการณ์มันเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆเรื่องของการแสดงนั้นขอยกให้ Elisabeth Moss ทั้งหมด เธอแบกหนังไว้ทั้งเรื่องเลย เพราะฉากส่วนใหญ่นั้นจะมีเธอเล่นแค่เพียงคนเดียว เล่นกับอากาศไม่ก็คนใส่ชุดสีเขียวเพื่อรอทำ Cgi ภายหลัง ซึ่งมันยากมาก ๆ ในการเ่นแบบไม่มีคู่รับส่งบทแต่เธอก็ยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความวิตกกังวลของตัวละครออกมาได้ สื่อหลายต่อหลายสำนักยังออกมาบอกว่าเธออาจจะเป็นตัวเต็งในเวทีรางวัลสาขานำแสดงหญิงในปีนี้ก็เป็นได้ ส่วนตัวละครสามีนั้นรับบทโดย Oliver Jackson-Cohen ที่ทุกคนรู้จักกันในบทบาทของ Luke จาก The Haunting House on the Hill ก็เล่นได้ดีไม่แพ้กัน แม้จะออกมาแค่ไม่กี่ฉากแต่ก็แสดงได้จนเรารับรู้เลยว่านางเอกกลัวอะไรในตัวสามี เขาเล่นได้ดูค่อนข้างโรคจิตและน่ากลัวมาก แสดงถึงบุคลิกแบบ Controlling หรือการที่ต้องการควบคุมภรรยาให้ทำทุกอย่างตามที่เขาต้องการ โดยรวมแล้วผมถือว่าเป็นหนังที่ผสมผสานความน่ากลัว ความสยองขวัญ และไซไฟ ไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ทำได้ดีตามาตรฐานหนังสยองขวัญหรืออาจะดีกว่าด้วยซ้ำ การตีความในแง่ของการใช้ความรุนแรงในชีวิตสมรสก็ถือว่าทำได้ดีและเพิ่มมุมมองใหม่ลงไปหนังมอนสเตอร์คลาสสิคเรื่องนี้ ถ้าใครยังไม่ได้ดูกันตอนนี้ทางโรงภาพยนตร์นำกลับมาฉายละนะครับ ถ้าใครจะไปก็ล้างมือ ใส่แมสก์ และทำตามขั้นตอนที่ทางโรงภาพยนตร์กำหนดก่อนเข้ารับชมกันด้วยล่ะ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตนเอง ลูกค้าคนอื่น และพนักงาน เผื่อว่าวันหนึ่งสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติจนเราไปดูหนังกันแบบเดิมได้ ยังไงก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่องนี้ไว้ด้วยนะครับ ส่วนใครดูแล้วลองมาแลกเปลี่ยนความเห็นกันได้ที่ช่องคอมเม้นต์เลยครับ ขอบคุณภาพทั้งหมดจาก IMDBภาพหน้าปก/ ภาพที่ 1/ ภาพที่ 2/ ภาพที่ 3/ ภาพที่ 4