สวัสดีครับ ผมเป็นนักศึกษาวิชาภาพยนตร์ปี 2 มหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในย่านรังสิต อาจารย์ได้มีการสั่งงานชิ้นหนึ่ง คือการให้ทำ "MV ภาพนิ่ง" โดยที่มีเวลาถ่ายทำและตัดต่อ 1 สัปดาห์ แต่ผมมีเวลาในการทำจริงๆประมาณ 1 วัน เพราะในช่วงนั้นมีการต้องไปออกกองถ่ายหนังในวิชาอื่นด้วย ผมต้องถ่ายงานวิชานี้ในวันศุกร์ และต้องไปถ่ายหนังของวิชาอื่นในวันเสาร์ตอนเช้า ผมเลือกที่จะถ่ายภาพแนว Street เพราะนั่นทำให้ผมไม่จำเป็นต้องใช้นักแสดง เนื่องจากผมทำงานนี้เพียงคนเดียว ซึ่งจริงๆเป็นงานกลุ่มแต่สะดวกในการทำเดี่ยว จึงได้ขออาจารย์เอาไว้แล้ว ผมตื่นตี 3 เนื่องจากผมพักอยู่ที่รังสิต จึงต้องรีบตื่นมาเตรียมตัวและไปให้ทันเวลาเช้ามืด เพราะผมต้องการภาพในช่วงเวลาที่สวยงามที่สุด นั่นคือช่วงพระอาทิตย์ขึ้น ผมได้เตรียมอุปกรณ์ที่ใช้ทั้งหมดแพ็คใส่ลงกระเป๋าไว้หมดแล้ว เมื่ออาบน้ำแต่งตัวเสร็จผมรีบคว้ากระเป๋าและออกไปรอรถเมล์ทันที (ผมมั่นใจว่านั่นคือรอบแรกของรถ) โจทย์ที่ผมได้คือ เพลง 'เขียนถึงคนบนฟ้า - พิง ลำพระเพลิง' ซึ่งเมื่อผมได้ฟังเพลงแล้วจึงได้รวบโดยรวมว่า โจทย์ที่ผมต้องหาคือ 'ความเหงา' เมื่อรถเมล์มาถึง ผมรีบวิ่งขึ้นรถทันที ผมตัดสินใจนั่งหลังสุดเพื่อที่เวลาถ่ายรูปจะได้สะดวก และนี่คือภาพแรกที่ผมหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย 'คุณลุงนั่งอยู่คนเดียวมันก็เหงาๆนะ' ผมคิด ถ่ายๆไปก่อน จะได้ใช้ในงานหรือไม่ ค่อยว่ากันตอนตัดต่อ 'ชีวิตต้องเดินก็รู้ แต่ไม่รู้จะเดินเพื่อใคร' ผมมาถึงอนุสาวรีย์เวลาตี 5 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำลังโอเค ผู้คนไม่พลุกพล่านและมองหาภาพคนเหงาได้ง่าย ทันทีที่ผมมองหันไปเห็นพี่คนนี้กำลังเดินข้ามถนน ผมคิดว่าในหัวทันทีว่า 'ต้องได้ภาพนี้' เพราะมันเป็นภาพที่ค่อนข้างตรงกับโจทย์ของผมที่สุดแล้ว 'ยามค่ำคืนยังยืนมองขอบฟ้า เธอสบตากับฉันบ้างหรือเปล่า' 'คิดถึงเธอ คนที่ดีที่สุด' ผมเดินถ่ายไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าห้าง Century ผมเดินข้ามถนนไป เดินไปมั่วๆและเผลอเดินเข้าไปเรื่อยๆในซอยเลิศปัญญา มีหลายๆภาพที่ผมเองไม่ได้ตั้งใจถ่ายมาเพื่อใช้ในงาน...แต่ถ่ายเพราะความชอบส่วนตัว ผมเดินออกมาจากซอยเลิศปัญญา และเดินไปทางขวา เพื่อจะได้วนกลับไปยังบริเวณเดิมแถวๆห้าง Century ที่ผมเดินมา ผมเดินผ่านร้านข้าวแกงบุฟเฟ่ต์ ปลาทอง 59 บาท ผมก็อดใจไม่ไหวที่จะลองเข้าไปทานสักครั้ง เพราะตอนนั้นก็ยังไม่ได้ทานอะไรเลย จึงรีบพุ่งเข้าไป ซึ่งพบว่าผมได้เป็นคนแรกของวัน จัดไป 2 ถาดแบบจุกๆจนเกือบลุกไม่ไหว เมื่อทานข้าวเสร็จเรียบร้อย ผมเดินถ่ายมาเรื่อยๆ และกลับมา ณ อนุสาวรีย์อีกครั้ง และตัดสินใจนั่งพักอยู่ใต้ต้นไม้หน้าร้านดนตรีกลางคืนแห่งหนึ่ง นั่นจึงทำให้ผมได้ภาพนี้ ขณะที่ผมนั่งอยู่ ผมก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายไปเรื่อย ทำให้ผมได้ภาพสองภาพที่จังหวะคล้ายๆกัน จึงนำมาประกอบร่างกันเป็นภาพนี้ ซึ่งก็ดูสนุกดี เพราะผมเคยเห็นภาพแนวๆนี้ผ่าน IG ของช่างภาพคนหนึ่ง ผมนั่งอยู่แถวอนุสาวรีย์จนถึงประมาณ 10 โมง ผมก็ตัดสินใจไปเดินเล่นดูในห้าง Century เพราะความเบื่อและไม่มีอะไรทำ ภาพที่ถ่ายมาก็รู้สึกโอเคประมาณหนึ่ง จึงไม่ได้รีบร้อนมองหาภาพเท่าตอนมาถึง ผมเดินวนดูทุกชั้นเพราะไม่เคยมาสักครั้งเดียว เดินดูทุกอย่างใน Supermarket ว่ามีอะไรขายบ้าง เดินดูตั้งแต่ชั้นแรกจนถึงชั้นบนสุด แล้วก็กลับมานั่งเล่น นั่งดู youtube ที่ Food court และก็ได้นอนงีบอยู่ที่นั่นค่อนข้างนานเลยทีเดียว (ตื่นตี 3 ไม่ง่วงก็แปลกแล้ว) เมื่อผมตื่นจากการงีบ ด้วยความที่อยู่นานก็เบื่อและหิวน้ำ ผมเลยคิดว่าจะขึ้นไป 7-11 สักหน่อยเพราะมีคูปองที่อยากใช้ ในขณะที่ผมกำลังเดินไปยังประตูทางออก อีก 10 เมตรก็จะถึงทางออกห้าง ผมโดนชายหนุ่มที่ออกสาวๆ พุ่งเข้าชาร์จ ตอนนั้นงัวผมเงียจากการพึ่งตื่นจากการงีบ จึงไม่แน่ใจว่าเขาพูดอะไร จับใจความได้แค่ว่าอยากให้ช่วยทำแบบสอบถาม ในตอนนั้นผมไม่ทันได้คิด และสมองก็ประมวลผลแบบงงๆอยู่ จึงเออออไป เสียเวลาสักนิดคงไม่เป็นไร ปรากฎว่ามันเริ่มพีคขึ้น เมื่อผมตอบตกลงไป เขาพาผมมาที่บูท ผมพบกับเครื่องอะไรบางอย่างซึ่งดูคล้ายกับเครื่องวัดสายตา เขาให้ผมเอาหน้าแนบเขาไปในนั้นและบอกให้ผมหลับตา (นั่นทำให้ผมแน่ใจทันทีว่าไม่ใช่เครื่องวัดสายตา) เมื่อผมแนบหน้าเข้าไป ก็มีแสงขาวยิงเข้าใส่เต็มๆหน้าผม เขาปริ้นรูปรอบใบหน้าผมออกบนกระดาษ พร้อมกับมีค่าวัดอะไรสักอย่างเป็นกราฟบนกระดาษนั้น เขาชี้ให้ผมดูว่า ผิวหน้าผมเท่ากับคนอายุ 55....ตอนนั้นผมเริ่มมีสติขึ้นมาแล้วล่ะ ผมรู้ตัวและระลึกได้ทันทีว่า...ผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมกำลังโดนพามาฟังการขายแบบฮาร์ทเซลล์มากๆ เขาพูดร่ายยาวให้ผมฟังว่า รักษาผิวหน้าด้วยขั้นตอนอะไรบ้าง 1...2...3...4...5...และบอกราคามาว่า ทำครั้งนึง 1 หมื่นบาท ตอนนั้นผมคิดในใจอย่างเดียวว่า 'ไม่เด็ดขาด! วันนี้จะต้องไม่มีการเสียตังค์มากขนาดนั้น' แล้วเขาก็เริ่มพูดโปรโมชั่นพิเศษมา 'พี่มีราคาพรีเซ็นเตอร์ให้ ราคา 5,000 บาท ทำเสร็จจะถ่ายรูปก่อน-หลังให้ด้วย และจะเอาภาพมาพรีเซ็น' ตอนนั้นผมเริ่มไม่ไหวแล้ว ด้วยทักษะการขายเลเวลสูงของเขาทำให้เขายื้อผมอยู่นานมาก พยายามพูดนู่นนี่มายื้อผม ผมปฎิเสธสุดชีวิตจนแทบขาดใจ แต่เขาก็ยื้อผมอยู่นานมาก สักพักเขาก็ถอดใจและผมก็หลุดออกจากสถานการณ์นั้นมาได้ ถ้าถามว่าทำไมผมไม่ลุกออกมาเลย...ตอนนั้นผมคิดไม่ได้ครับ ผมนอนไม่พอและพึ่งตื่นมาจากการงีบ ถ้าย้อนกลับไปผมไม่หลงกลตั้งแต่ทีแรกแล้ว ผมได้ไปซื้อน้ำและของกินที่ 7-11 ตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ทีแรก ซื้อเสร็จผมก็กลับไปนั่งแถวเดิม โดยที่เลี่ยงบริเวณที่เจอกับเซลล์คนนั้นด้วยการไม่เดินไปแถวนั้นอย่างเด็ดขาด เวลาออกหรือเข้าก็ไปทางอื่น หลังจากที่ผมนั่งอยู่ที่ Food Court (รอบ 2) สักพัก ก็ถึงช่วงเวลาที่ผมคิดว่าแสงน่าจะโอเคกับการถ่ายภาพแล้ว ผมจึงได้เดินไปยัง 'สวนสันติภาพ' และถ่ายรูปเล่นไปโดยคิดว่า 'เดี๋ยวภาพที่ต้องการก็มาเอง' การถ่ายภาพของผมจึงเริ่มสนุก เพราะผมไม่ได้ไปมัวแต่คิดเรื่องโจทย์ที่ต้องทำอีกแล้ว บรรยากาศของที่นั่น เย็นสบายมากๆ ท้องฟ้าโปร่งใส ไม่มีเมฆ แต่ก็ไม่ร้อนเพราะแดดไม่แรง ลมก็พัดเย็นสบาย ผมนั่งลงบนหญ้า เพราะคิดว่ามันชิลล์ดี แต่เมื่อลุกขึ้นก็พบว่า...มันเปียก เป็นบรรยากาศที่หากไม่ได้ออกมาถ่ายงานนี้ ผมคงไม่ได้มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก คุณป้ามาออกกำลังยืดเส้นยืดสายกันที่ลานกว้างในสวน ซึ่งเสียงที่คุณป้านำมามันคือภาษาจีน ก็เข้าใจว่ามันน่าจะเป็นการรำมวยไทเก๊ก ผมเดินออกมาจากสวนและจะย้อนกลับไปแถวอนุสาวรีย์ เพื่อมองหาดูภาพที่ต้องการอีกรอบ ก็ได้มาสะดุดกับห้างที่อยู่บริเวณอนุสาวรีย์พอดี นั่นคือ Center One Shopping Plaza ผมไม่เคยเข้าไปเลย วันนี้มีโอกาสจึงได้ตัดสินใจเดินดูรอบๆทุกชั้น จนมาเจอชั้นที่มีร้านหนังสือนายอินทร์ ซึ่งผมตั้งใจจริงว่าจะไปดูหนังสือนั่นแหละ ผมมีหนังสือที่สนใจอยากซื้อมาอ่าน แต่ไม่มีเวลาไปร้านหนังสือสักที ครั้งนี้บังเอิญเจอก็เลยลองดูสักหน่อยว่าจะมีหนังสือที่ต้องการมั้ย และผมก็เจอจริงๆ 'สิ่งสำคัญของหัวใจ' ผมติดตามเพจ Roundfinger และติดตามนิ้วกลมมาสักพักนึง ก็ชื่นชอบอยากลองซื้อหนังสือของพี่เอ๋ (นิ้วกลม) มาอ่านบ้าง เพราะเห็นรีวิวแล้วรู้สึกถูกจริตและเป็นเรื่องที่เราสนใจ ในตอนนั้นผมยังไม่ทันได้เดินสำรวจร้าน ก็เจอเล่มนี้อยู่ตรงที่แนะนำหนังสือ ผมมองดูรอบๆและพบว่ามันมีเล่มเดียว...เอ้ะ...หรือว่าจะหมด แล้วเหลือเล่มเดียวด้วยสิ ตอนนั้นผมไม่มีเงินสดและไม่อยากใช้บัตรเดบิตด้วย จึงรีบเดินหาตู้ ATM ในห้าง ร้านอยู่ชั้น 3 และตู้อยู่ชั้น 1 ผมรีบเดินจ้ำไปกดเงินออกมาหนึ่งพันบาท แล้วรีบกลับมาที่ร้านหนังสือ ก็สบายใจที่เห็นว่าเล่มนี้ยังอยู่ ผมรีบหยิบมาไว้กับตัวแล้วจึงค่อยเดินสำรวจรอบๆร้านเพื่อมองหาหนังสืออีกเล่มคือ 'สิ่งสำคัญของชีวิต' เดินอยู่สักพักก็เจอหมวดหนังสือ 'พัฒนาตัวเอง' ผมคิดว่ามันต้องอยู่ที่หมวดนี้แน่ๆแต่ผมกวาดสายตาดูแล้วก็ไม่เจอเลย ก็เลยคิดว่างั้นซื้อเล่มนี้ก่อนละกัน ผมไปจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ พนักงานกล่าวกับผมว่า 'มีเล่มแรกแล้วหรอคะ?' ผมหูผึ่งทันที! 'ไหนครับ!?' ผมรีบถามทันที 'นี่ไงคะอยู่ข้างๆกันเลย' พนักงานตอบพร้อมกับเดินไปชี้ให้ดู (ผมแทบอยากจะกระโดดกอดพนักงาน แต่เสียดายมีเคาท์เตอร์กันไว้...พนักงานน่ารักซะด้วย) แล้วมันก็อยู่ตรงนั้น...ตรงหมวดพัฒนาตัวเอง...มีทั้ง สิ่งสำคัญของหัวใจ และ สิ่งสำคัญของชีวิต อยู่คู่กันตรงนั้นหลายเล่ม ผมกล่าวกับตัวเองในใจ 'ทีหลังควรนอนให้พอนะ' ตอนนั้นผมมั่นใจว่าผมดูแถวนั้นแล้ว แต่ก็ไม่เจอ โชคดีที่ได้พนักงานสาวคนสวยแสนน่ารักช่วยให้ผมได้หนังสืออีกเล่ม ผมยื่นทั้งสองเล่มให้พนักงานที่เคาท์เตอร์เพื่อให้เธอคิดเงิน แต่เธอบอกว่า 'มีบัตรสมาชิกมั้ยคะ ซื้อครบ 600 บาท สมัครบัตรฟรีนะคะ' แต่หนังสือมันเล่มละสองร้อยกว่าบาท...ผมจำเป็นต้องซื้อเพิ่ม ซึ่งก็ขาดไม่เยอะมากในการไปให้ถึงหกร้อย ผมมองรอบเคาท์เตอร์ ก็เจอของที่อยากได้อีกเหมือนกัน...ประเทศไทยกำลังจะงดให้ถุงพลาสติก ผมจึงอยากได้กระเป๋าพอดี แต่ยอดก็ยังไม่ถึงอยู่ดี ขาดอีก 13 บาท ผมเลยตัดสินใจมองรอบๆเคาท์เตอร์อีกครั้ง เมื่อออกมาจากร้าน ผมก็ตัดสินใจเดินถ่ายต่ออีกสักพักหนึ่ง ช่วงเวลาดำเนินมาจนถึง 1 ทุ่มกว่าๆ ผมคิดว่าผมได้ภาพที่ต้องการพอสมควรแล้วและผมก็เหนื่อยล้าเต็มที ผมตัดสินใจจึงขึ้นรถเมล์เพื่อกลับหอพัก เมื่อนำภาพมาตัดเป็น MV เสร็จเรียบร้อย ผมก็ส่งตามที่อาจารย์ระบุให้ส่ง เมื่อถึงคอมเม้นต์งานในคลาสเรียน ผลก็ออกมาเกินคาด 'ครูให้เต็ม 10 คะแนน' ผมรู้สึกได้ทันทีว่าการที่ผมเดินเหนื่อยไปทั้งวัน...คุ้มค่าแล้ว...นอกจากจะได้งานส่งอาจารย์แล้ว ยังได้ภาพไว้ลง IG ได้หนังสือที่อยากอ่าน ได้กินข้าวร้านที่อยากลอง. ติดตามภาพอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ Instagram ของผู้เขียนเอง