ใครจะไปคิดว่าใจกลางกรุงเทพฯ อย่างย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจะมีพระราชวังเก่าแก่ที่สวยงามแห่งหนึ่งซ่อนอยู่ ซึ่งพระราชวังที่เราพูดถึงก็คือ “พระราชวังพญาไท” นั่นเอง วันนี้เราจะมารีวิวพร้อมทั้งเชิญชวนวิ เอ้ย! ท่านผู้อ่านมาเดินเที่ยวชมสิ่งที่น่าสนใจและบรรยากาศภายในพระราชวังแห่งนี้กันค่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ตามเรามาเลยจ้า! ^^ “พระราชวังพญาไท” เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ติดกับโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น “โรงนา” ในการทำเกษตรกรรม และสร้างพระตำหนักพญาไทเป็นองค์แรกตามด้วยพระตำหนักกับพระที่นั่งต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกหลายองค์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ทรงรื้อพระตำหนักกับพระที่นั่งองค์อื่น ๆ แล้วสร้างใหม่ และทรงสถาปนาให้เป็น “พระราชวังพญาไท” แต่เมื่อพระองค์สวรรคต พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ จึงทรงปรับเปลี่ยนให้เป็นโรงแรมชั้นหนึ่งของประเทศนามว่า “โรงแรมพญาไทพาเลซ (Phya Thai Palace Hotel)” ทำได้ไม่นานก็ยกเลิกเพราะขาดทุนหนักมาก ภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ทางราชการใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ทำการของกองเสนารักษ์ จนสุดท้ายกลายเป็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าฯ กับเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ประชาชนได้เข้าชมกันอย่างที่เห็นในปัจจุบันค่ะ เมื่อเดินทางมาถึงพระราชวังพญาไทแล้วเราก็ลงทะเบียนเข้าชมในสมุดเยี่ยมชมแล้วเดินไปชำระค่าบัตรเข้าชม 40 บาทที่ร้านขายของที่ระลึก “มัทนา” ซึ่งการเข้าชมภายในพระราชวังสามารถเข้าชมได้เฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์เพียงแค่สองรอบเวลาเท่านั้นคือ รอบเช้าเวลา 09.30 น. และรอบบ่ายเวลา 13.30 น. ที่สำคัญต้องแต่งกายสุภาพด้วยนะคะ แต่ถ้าชมเฉพาะบริเวณด้านนอกสามารถเข้าชมได้ตลอดและไม่เสียค่าเข้าชม ส่วนค่าเข้าชมนั้นเริ่มเก็บมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2563 เนื่องจากค่าบูรณะมีราคาแพงมากและต้องนำเงินจ่ายค่าวิทยากรนำเข้าชมด้วย หลังจากเราชำระบัตรค่าเข้าชมเสร็จก็ฟังวิทยากรบรรยายประวัติและสิ่งที่น่าสนใจภายในพระราชวังพญาไทอย่างคร่าว ๆ ซึ่งพระราชวังแห่งนี้ประกอบด้วย 5 พระที่นั่ง, 1 พระตำหนัก ได้แก่ พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน, พระที่นั่งพิมานจักรี, พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส, พระที่นั่งเทวราชสภารมย์, พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์ และพระตำหนักเมขลารูจี โดยชื่อของพระที่นั่งทั้งหมดจะตั้งให้คล้องจองกัน นอกจากนั้นยังมีสถานที่อื่น ๆ ที่น่าสนใจอย่างพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖, อาคารเทียบรถพระที่นั่ง, ศาลท้าวหิรัญพนาสูร, วิหารพระมหานาคชินะวรวรานุสรณ์มงกุฎราช และสวนโรมันค่ะ พอถึงเวลาที่วิทยากรพาเข้าชมพระราชวังพญาไทแล้ว วิทยากรก็ได้พาไปชม “พระตำหนักเมขลารูจี” เป็นแห่งแรก ซึ่งพระตำหนักเมขลารูจีเป็นพระตำหนักองค์แรกในพระราชวังที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ทรงงานวางโครงการสร้างพระราชมณเฑียร โดยพระตำหนักองค์นี้มีลักษณะเป็นเรือนไม้สัก 2 ชั้น หลังคามุงกระเบื้องดินเผา ส่วนด้านข้างกับด้านหลังมีคลองน้ำไหลไปยังห้องสระสรง (ห้องอาบน้ำ) ภายในมีภาพเขียนสีลายนกและมีสระสรง (สระอาบน้ำ) ใช้เป็นที่สรงน้ำหลังจากทรงพระเครื่องใหญ่ (ตัดผม) ค่ะ พอชมพระตำหนักเมขลารูจีแล้วก็เดินมาชม “พระที่นั่งศรีสุทธนิวาส” กันต่อ ซึ่งพระที่นั่งศรีสุทธนิวาสตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของพระที่นั่งพิมานจักรี แต่เดิมชื่อว่า “พระที่นั่งลักษมีพิลาส” ที่ตั้งตามพระนามของพระนางเธอลักษมีลาวัณ พระมเหสีในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระที่นั่งองค์นี้เป็นอาคารก่ออิฐ ฉาบปูนแบบอิงลิช โกธิคสูง 2 ชั้น มีโดมขนาดเล็กและทางเชื่อมต่อกับชั้น 2 ของพระที่นั่งพิมานจักรี ใช้เป็นที่รับรองของเจ้านายฝ่ายใน ภายในตกแต่งด้วยภาพจิตรกรรมบนฝาผนังเชิงเพดานและเพดานแบบอาร์ต นูโว เป็นลายดอกไม้และภาพชาย-หญิงกับแกะที่มีลักษณะเป็นภาพเขียนสีแบบตะวันตกค่ะ หลังจากชมพระที่นั่งศรีสุทธนิวาสแล้วก็เดินชม “พระที่นั่งพิมานจักรี” ที่ตั้งอยู่ติดกัน ซึ่งพระที่นั่งพิมานจักรีเป็นพระที่นั่งองค์ประธานสูง 2 ชั้น สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมผสมผสานกันระหว่างศิลปะโรมาเนสก์กับศิลปะโกธิค แต่จะมีความพิเศษอยู่ตรงที่มียอดโดมสูงสำหรับชักธงมหาราช (ธงครุฑ) สำหรับให้เจ้าพนักงานชักธงขึ้นสู่ยอดเมื่อมีพระมหากษัตริย์เสด็จฯ มาประทับเท่านั้น อีกทั้งบนเพดานกับด้านบนผนังเขียนเป็นลายเชิงฝ้าเพดานรูปดอกไม้งดงาม และบานประตูเป็นไม้สลักลายปิดทองศิลปะลักษณะวิคตอเรียน เหนือบานประตูจารึกอักษรพระปรมาภิไธยรัชกาลที่ ๖โดยวิทยากรจะพาเข้าชมห้องชั้นล่างทีละห้องก่อนแล้วจึงขึ้นบันไดไปยังชั้นบน เริ่มจากชั้นล่างประกอบด้วยห้องธารกำนัล/ห้องรับแขก, ห้องเสวย, ห้องพักเครื่อง และห้องพระโอสถมวนค่ะ “ห้องธารกำนัล” หรือ “ห้องรับแขก” ตั้งอยู่ชั้นล่างตอนกลางของพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งห้องนี้เป็นท้องพระโรงฝ่ายหน้าที่ใช้สำหรับรอเฝ้าพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชบริพารชั้นผู้ใหญ่ ต่อมาเมื่อเปลี่ยนเป็นโรงแรมพญาไทพาเลซก็ได้ใช้เป็นห้องอาหาร โดยภายในห้องตกแต่งด้วยศิลปะแบบวิคตอเรียน บานประตูห้องทั้งหมดเป็นไม้สักสลักลายปิดทอง เหนือบานประตูเป็นช่องลม ตรงกลางสลักเป็นอักษรพระนามาภิไธย ร.ร.๖ อยู่ในวงกลม ขนาบด้วยลายแกะสลักพันธุ์พฤกษาค่ะ “ห้องเสวย” เป็นห้องเสวยแบบยุโรป สำหรับนั่งร่วมโต๊ะเสวยกับฝ่ายใน (ฝ่ายหน้า) ซึ่งภายในห้องตกแต่งด้วยลวดลายภาพเขียนสีบนผนังด้านบนติดเพดานรูปผลไม้ มีภาพพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ติดอยู่บนผนังห้อง และมีพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ด้านข้าง ส่วนด้านหลังห้องเสวยเป็นห้องพักเครื่องและห้องเตรียมพระกระยาหารค่ะ “ห้องพระโอสถมวน” ตั้งอยู่ตรงข้ามกับห้องเสวย เป็นห้องทรงกลมใต้โดมพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งภายในห้องมีโต๊ะ-เก้าอี้ตั้งอยู่กลางห้องและตู้ตั้งอยู่หลังห้อง โดยห้องนี้เป็นห้องส่วนพระองค์สำหรับใช้สูบมวนพระโอสถ (บุหรี่/ซิกการ์/ไปป์) สันนิษฐานว่าหลังจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสวยพระกระยาหารแล้วจะเสด็จฯ มาสูบพระโอสถมวนที่นี่ค่ะ เมื่อเดินชมห้องชั้นล่างจนครบทุกห้องแล้วก็ขึ้นบันไดไปชมห้องชั้นบนกันต่อ ซึ่งห้องชั้นบนประกอบด้วยห้องท้องพระโรง, ห้องเมืองดุสิตธานี, ห้องพระบรรทมตะวันออก, ห้องสรง และห้องทรงพระอักษร แต่ระหว่างจะเดินขึ้นบันไดจะเห็นตุ๊กตาปูนปั้นตั้งอยู่บริเวณบันไดค่ะ “ห้องท้องพระโรง” เป็นห้องที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ ออกให้เฝ้าฯ ส่วนพระองค์และเป็นที่ประทับเสวยพระกระยาหารแบบง่าย ๆ แต่ในบางครั้งก็ใช้เป็นห้องประชุม ต่อมาเมื่อพระราชวังถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรม ห้องนี้พระราชวังถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรม ซึ่งภายในห้องตกแต่งแบบยุโรป มีเตาผิงที่ประดิษฐานพระบรมสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ด้านบน ส่วนกรอบรูปประดับด้วยตราจักรีที่เป็นสัญลักษณ์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ภายในรูปวงรี และภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎล้อมรอบด้วยพระรัศมีค่ะ “ห้องเมืองดุสิตธานี” ตั้งอยู่ถัดจากห้องท้องพระโรงไปทางทิศตะวันตก ซึ่งในอดีตเคยใช้เป็นห้องประทับของสมเด็จพระนางเจ้าอินทรศักดิศจี พระวรราชชายาของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ปัจจุบันใช้เป็นห้องเก็บโมเดลของ “ดุสิตธานี” เมืองจำลองที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยภายในห้องมีภาพจิตรกรรมสีปูนแห้งบนฝ้าเพดานเป็นรูปเหล่าเทพธิดาองค์น้อยเคล้าคลออยู่กับมวลหมู่กุหลาบ, ท้องฟ้า และหมู่สกุณา รวมทั้งริบบิ้นแซมช่อกุหลาบค่ะ “ห้องพระบรรทม” ตั้งอยู่ถัดจากห้องท้องพระโรงไปทางทิศตะวันออก ซึ่งห้องนี้ต่างจากห้องอื่นตรงที่ภาพจิตรกรรมบนผนังเพดานเขียนด้วยเทคนิคสีปูนแห้งเป็นแบบพุทธศิลป์และภูมิปัญญาตะวันออก อาทิเช่น ภาพคัมภีร์ในพระพุทธศาสนา, พระพุทธปรัชญา และภาพพญามังกรห้าเล็บที่สื่อถึงสัญลักษณ์ของความเป็นพระราชากับปีพระราชสมภพ อีกทั้งห้องนี้ยังมีห้องสรงอยู่ภายในด้วย แต่เมื่อพระราชวังถูกเปลี่ยนเป็นโรงแรม ห้องพระบรรทมนี้จึงจัดเป็นห้องเดอลุกซ์ที่มีราคาค่าพักคืนละ 100 บาท (ไม่รวมค่าอาหาร) ค่ะ “ห้องทรงพระอักษร” เป็นห้องทรงกลมใต้โดมที่ตั้งอยู่ตรงข้ามห้องพระบรรทม ซึ่งภายในห้องมีตู้หนังสือสีขาวแบบติดฝาผนังที่ประดิษฐานพระนามาภิไธย ร.ร. ๖ ตรงขอบตู้ด้านบน ส่วนลวดลายบนเพดานห้องเป็นลายประแจจีน และมีรูปครุฑพ่าห์ที่งามที่สุดอยู่ในวงกลมประดับอยู่เหนือขอบประตูทางเข้าห้องค่ะ พอชมพระที่นั่งพิมานจักรีครบทุกห้องแล้วก็เดินไปชม “พระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน” ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งพิมานจักรีกันต่อ ซึ่งในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระที่นั่งแห่งนี้เคยเป็นที่ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงกรุงเทพฯ ที่พญาไท เมื่อปี พ.ศ. 2473 แต่ดำเนินการได้เพียง 2 ปีก็มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. 2475 สถานีวิทยุฯ จึงถูกย้ายไปยังที่ทำการตำบลศาลาแดงแทน โดยในอดีตนั้นพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานเป็นพระที่นั่งก่ออิฐ ฉาบปูนสูง 2 ชั้น ต่อมาภายหลังได้ต่อเติมอาคารแบบโรมาเนสก์ ชั้น 3 เพิ่มขึ้นเพื่อจัดเป็นห้องพระบรรทม, ห้องทรงพระอักษร และห้องสมุด ภายในประกอบด้วยห้องพระบรรทม, ห้องสรง และห้องทรงพระอักษรค่ะ “ห้องพระบรรทม” เป็นห้องพระบรรทมส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งภายในห้องมีม่านชนิดพิเศษพับเก็บได้ เมื่อกางออกมีช่องทางให้ลมกับอากาศบริสุทธิ์เข้ามาได้ และความร้อนจะถูกดูดออกด้วยพัดลมทางด้านบน ส่วนบนฝ้าเพดานมีภาพจิตรกรรมที่เขียนด้วยเทคนิคสีปูนแห้งเป็นรูปเทพน้อย 4 องค์พร้อมเครื่องดนตรี ดีด สี ตี เป่าที่ล่องลอยอยู่บนท้องฟ้าเป็นวงกลม อีกทั้งยังสามารถมองเห็นสวนโรมันที่อยู่ด้านหลังได้จากหน้าต่างในห้องนี้อีกด้วย และในช่วงที่เป็นโรงแรม ห้องนี้ถูกจัดเป็น “ห้องรอยัล สวีท” หรือ “ห้องสวีท ดีลักซ์ บี 1” ที่ถือว่าเป็นห้องที่หรูหราที่สุด โดยมีราคาค่าพักคืนละ 120 บาทค่ะ “ห้องสรง” ตั้งอยู่ถัดจากห้องพระบรรทม ซึ่งภายในห้องสรงประกอบด้วยราวจับทองเหลือง, ฝักบัวอาบน้ำ, ตู้ใส่ของ, พัดลมทองเหลือง, เก้าอี้, ราวพาดผ้า และผ้าขนหนูค่ะ “ห้องทรงพระอักษร” ตั้งอยู่ตรงข้ามห้องพระบรรทม ซึ่งภายในห้องจะมีโต๊ะกับเก้าอี้วางอยู่และเสาตั้งพื้นอยู่ 4 ทิศพร้อมผ้าม่านบาง ๆ สีขาว ส่วนด้านข้างติดผนังมีตู้สำหรับเก็บหนังสือวางเรียงกันอยู่ นอกจากนั้นบนฝ้าเพดานและเชิงฝ้าเพดานยังตกแต่งภาพจิตรกรรมอีกด้วยค่ะ ชมพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถานแล้วก็เดินข้ามมาชม “พระที่นั่งเทวราชสภารมย์” ที่ตั้งอยู่ทางด้านหน้าของพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน ซึ่งพระที่นั่งเทวราชสภารมย์เป็นท้องพระโรงเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดยได้รับอิทธิพลจากศิลปะไบเซนไทน์ คือ มีโดมอยู่ตรงกลางรองรับด้วยหลังคาโค้งประทุน (หลังคาโค้งครึ่งวงกลม) ทั้ง 4 ด้าน บนผนังมีภาพจิตรกรรมรูปคนและลายพรรณพฤกษา และมีอักษร “สผ” ที่เป็นพระนามย่อของสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) เคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีที่สำคัญต่าง ๆ อย่างเช่น งานเฉลิมพระชนมพรรษา, สถานที่ต้อนรับแขกส่วนพระองค์ และบางครั้งใช้เป็นโรงละครหรือโรงภาพยนตร์แล้วแต่โอกาสค่ะ หลังจากชมพระที่นั่งและพระตำหนักเกือบครบทุกองค์แล้ว ยกเว้น “พระที่นั่งอุดมวนาภรณ์” ที่ไม่ได้เข้าชม เนื่องจากปัจจุบันพระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นสำนักงานศูนย์อำนวยการแพทย์พระมงกุฎเกล้า จึงเข้าชม “สวนโรมัน” กันต่อ ซึ่งสวนโรมันตั้งอยู่ทางด้านหลังของพระที่นั่งพิมานจักรี ใช้สำหรับเป็นพื้นที่พักผ่อนพระอิริยาบถและจิบพระสุธารส (น้ำ) ค่ะ การจัดแต่งภูมิสถาปัตย์สวนโรมันเป็นพื้นที่สี่เหลี่ยมเรขาคณิต มีศาลาในสวนที่สร้างตามแบบโรมัน คือ ศาลาทรงกลมตรงกลางมีหลังคาโดมรับด้วยเสาแบบคอรินเธียน ขนาบข้างศาลาทรงกลมตรงกลางมีหลังคาโดมรับด้วยเสาแบบคอรินเธียน ส่วนบริเวณบันไดทางขึ้นแต่เดิมนั้นประดับด้วยตุ๊กตาหินอ่อน ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นตุ๊กตาปูนปั้น โดยศาลาในสวนนี้ใช้เป็นเวทีการแสดงกลางแจ้งในบางโอกาสค่ะ ด้านหน้าของทางขึ้นบันไดศาลาในสวนเป็นสระน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในแนวแกนเดียวกับโดม มีทางเดินกว้างโดยรอบ ส่วนตรงกลางสระมีรูปหล่อสำริดพระพิรุณตั้งอยู่บนฐานหินอ่อน ซึ่งด้านล่างของฐานนั้นประดับด้วยรูปมังกร อันเป็นสัญลักษณ์ของพระองค์ท่านค่ะ พอชมสวนโรมันแล้วก็เดินไปชมและกราบไหว้ “ศาลท้าวหิรัญพนาสูร” กับ “วิหารพระมหานาคชินะวรวรานุสรณ์มงกุฎราช” ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหลังของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ใกล้กับพระราชวังพญาไท ซึ่งรูปปั้นท้าวหิรัญพนาสูรหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดสูง 20 เซนติเมตร มีชฎาเทริดอย่างไทยโบราณและไม้เท้าเป็นเครื่องประดับยศ โดยท้าวหิรัญพนาสูรนั้นเป็นชายรูปร่างล่ำสันใหญ่โตที่คอยติดตามและป้องกันอันตรายทั้งปวงให้กับพระบาทสมเด็จพระมงกฎเกล้าเจ้าอยู่หัวค่ะ ส่วนวิหารพระมหานาคชินะวรวรานุสรณ์มงกุฎราชตั้งอยู่บริเวณใกล้กับศาลท้าวหิรัญพนาสูร ซึ่งภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระมหานาคชินะวรวรานุสรณ์มงกุฎราช อันเป็นพระพุทธรูปประจำพระราชวังพญาไทที่จำลองแบบมาจากพระมหานาคชินะ โดยเป็นพระพุทธรูปปางนาคปรก (พระประจำวันเสาร์) มีลักษณะที่เด่นชัดคือ นั่งขัดสมาธิราบ พระชงฆ์ขวาทับซ้าย ถือเป็นท่านั่งที่สำรวมอิริยาบท หงายพระหัตถ์วางซ้อนกันบนพระเพลา พระหัตถ์ขวาวางทับบนพระหัตถ์ซ้าย มีพญานาคแผ่พังพาน ๗ เศียรค่ะ จากนั้นก็เดินไปชมและกราบไหว้สักการะ “พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖” ซึ่งพระบรมราชานุสาวรีย์นี้ตั้งอยู่หน้าอาคารเทียบรถพระที่นั่งที่ถูกสร้างขึ้นในภายหลัง โดยมีลักษณะเป็นพระบรมรูปหล่อด้วยสำริดที่ทรงเครื่องยศจอมพลทหารบกประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์รามาธิบดีในพระอิริยาบถประทับยืนขนาดเท่าพระองค์จริงค่ะ กราบไหว้พระบรมราชานุสาวรีย์แล้วก็ชม “อาคารเทียบรถพระที่นั่ง” ที่ตั้งอยู่ด้านหน้าพระที่นั่งพิมานจักรี ซึ่งอาคารเทียบรถพระที่นั่งเป็นอาคารแบบนีโอคลาสสิคที่ได้สร้างต่อเติมภายหลังจากสร้างพระราชวังพญาไทเสร็จแล้ว เพื่อใช้เป็นลานเทียบรถพระที่นั่งและห้องพักคอยผู้รอเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ปัจจุบันทางพระราชวังเปิดให้เอกชนเช่าเป็น “ร้านกาแฟนรสิงห์” ค่ะ ก่อนกลับเราก็แวะไปเดินดูของที่ระลึกที่ “ร้านมัทนา” ซึ่งร้านมัทนาเป็นร้านขายของที่ระลึกที่ตั้งอยู่ติดกับบันไดทางขึ้นชั้น 2 ของพระที่นั่งไวกูณฐเทพยสถาน โดยทางร้านมีของที่ระลึกต่าง ๆ ให้เลือกซื้อมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเข็มพระบรมราชสัญลักษณ์วชิราวุธ, เสื้อ, กระเป๋าผ้า, แก้วน้ำ, กระบอกน้ำ, กรอบรูป, ปากกา, นาฬิกา, เนกไท, ผ้าพันคอ และร่ม รายได้จากการจำหน่ายจะนำมาสมทบทุนบูรณะพระราชวังพญาไทค่ะ สำหรับเพื่อน ๆ ที่คิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวที่ไหนดีในวันเสาร์-อาทิตย์ล่ะก็... ลองแวะเข้ามาเที่ยวชม “พระราชวังพญาไท” พระราชวังสวยใจกลางกรุงเทพฯ กันได้นะคะวิ! รับรองว่าเพื่อน ๆ จะต้องเดินเที่ยวชมเพลินจนลืมเวลา แถมได้รับความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระราชวังแห่งนี้กลับไปอย่างแน่นอนค่ะ 😊😊😊 ปักหมุดได้ที่: 315 ถนนราชวิถี แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400GPS: พระราชวังพญาไทEmail: palacefanclub@live.comเว็บไซต์: www.phyathaipalace.orgโทร: 02-354-7987Facebook Fanpage: พระราชวังพญาไท Phyathai Palaceเสียค่าเข้าชม: ผู้ใหญ่ราคา 40 บาท/คน, ผู้สูงอายุ ราคา 20 บาท/คน และเด็กอายุ 10 - 14 ปีราคา 10 บาท/คน (ชาวไทยและชาวต่างชาติเสียค่าเข้าชมราคาเดียวกัน) ส่วนพระสงฆ์กับนักเรียน/นักศึกษาในเครื่องแบบเข้าชมฟรีเปิด: วันเสาร์ - วันอาทิตย์ รอบเช้าเวลา 09.30 น. รอบบ่ายเวลา 13.30 น. (ถ้าชมบริเวณรอบ ๆ แค่ด้านนอกมีเปิดให้ชมตลอด)เดินทางโดยรถยนต์: เลี้ยวเข้าถนนราชวิถีและขับตรงไปประมาณ 500 เมตร จะเห็นโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าอยู่ทางขวามือ ให้เลี้ยวขวาเพื่อจอดรถภายในโรงพยาบาล หากไม่ต้องการเดินไกลแนะนำให้จอดรถใกล้กับทางเข้าพระราชวังพญาไทเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ: สาย 8, 12, 14, 18, 28, 92, 97, 108 ปอ.92, 509, 522, 536 ปอ.พ.4เดินทางโดยรถไฟฟ้า BTS: รถไฟฟ้า BTS สายสุขุมวิท ลงที่สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ออกทางออกที่ 3 (ลงฝั่งโรงพยาบาลราชวิถี) ข้ามสะพานลอยไปฝั่งตรงข้ามแล้วเดินตรงมาเรื่อย ๆ จนถึงโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้าออกแบบหน้าปกใน Canva โดย: Windy_55 (ผู้เขียน)เครดิตภาพประกอบบทความทั้งหมดโดย: Windy_55 (ผู้เขียน)กำลังหาที่เที่ยวหรือเปล่า? หาข้อมูลที่เที่ยวสุดปังได้ที่ App TrueID โหลดเลย ฟรี !