เมื่อเห็นโจทย์จากทรูไอดี เรื่องเล่าจากเจ้าถิ่น สถานที่แรกที่เรานึกถึงคือ คลองสาน คงเป็นเพราะช่วงนี้ไปเดินเล่นแถวนั้นบ่อย ๆ คลองสานเป็นย่านที่เราคุ้นเคยมานาน เพราะบ้านเราอยู่ตรงข้ามกับคลองสานเพียงแค่แม่น้ำเจ้าพระยากั้น แม้เราจะเป็นแค่เพื่อนบ้าน แต่ในฐานะคนคุ้นเคยคงพออนุโลมให้เราเป็นผู้เล่า เรื่องเล่าจากเจ้าถิ่น วันนี้เราจะชวนทุกคนไปตามรอยอดีตและปัจจุบันของคลองสานกัน เราเริ่มต้นการเดินทางที่ วัดพิชยญาติการามวรวิหาร หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ วัดพิชัยญาติ เดิมเป็นวัดร้าง ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) บูรณะแล้วถวายวัดให้รัชกาลที่ 3 วัดนี้จึงเป็นวัดหลวง เจ้าพระยาบรมพิไชยญาติหรือเจ้าพระยาองค์น้อยผู้เคยมีนิวาสสถานในแถบนี้ จึงทำให้ชื่อสถานที่ในย่านนี้ เช่น คลองสมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา มหาวิทยาลัยราชภัฎบ้านสมเด็จ มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสมเด็จเจ้าพระยาจากตระกูลบุนนาค ตระกูลขุนนางที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้น อุโบสถของวัดพิชัยญาติไม่มีช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์แบบอาคารไทยประเพณีทั่วไป เพราะวัดที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 นิยมสร้างแบบพระราชนิยมที่เน้นความเรียบง่าย การตกแต่งหน้าบันอุโบสถได้รับอิทธิพลจากศิลปะจีน ที่นี่มีประติมากรรมนูนต่ำสามก๊กรอบพระอุโบสถหนึ่งเดียวในประเทศไทย ภาพทั้งหมด 22 ห้องแต่น่าเสียดายที่หลายภาพเสียหายหนักจนไม่ทราบว่าเป็นภาพจากสามก๊กตอนใด ภาพตอนจูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า คือตอนที่จูล่งบุกเดี่ยวฝ่ากองทัพโจโฉเข้าไปรับอาเต๊าลูกชายของเล่าปี่ที่ติดอยู่ในวงล้อมศัตรู ภาพตอนนี้ดูเหมือนเราจะคุ้นเคยมากที่สุดเพราะเคยเรียนสามก๊กตอนนี้ในวิชาภาษาไทยตอนเด็ก ๆ ภายในพระอุโบสถมีเตียงของเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติและพระสิทธารสที่ชาวบ้านนิยมเรียกกันว่าหลวงพ่อสมปรารถนา ภายในอุโบสถตกแต่งด้วยลายดอกพุดตานซึ่งพัฒนามาจากดอกโบตั๋นของจีนนั่นเอง ด้านหลังพระอุโบสถคือพระปรางค์สามยอดบนฐานเดียวกัน นอกจากพระปรางค์วัดอรุณแล้ว ที่นี่น่าจะเป็นพระปรางค์ขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ภายในพระอุโบสถองค์กลางมีพระพุทธเจ้าสี่องค์ในอดีตและปัจจุบันคือ พระกกุสันธะพุทธเจ้า พระโกนาคมนะพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า พระโคตมะพุทธเจ้า และในพระปรางค์องค์ซ้ายมือคือ พระศรีอริยเมตไตร พระพุทธเจ้าในอนาคต พระปรางค์องค์ขวามือประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง จากวัดแรกเราเพียงเดินข้ามถนนก็จะเจอกับวัดที่สอง วัดอนงคาราม เดิมวัดนี้ชื่อ วัดน้อยขำแถม เพราะท่านผู้หญิงน้อยภรรยาของสมเด็จเจ้าพระยาบรมพิไชยญาติเป็นผู้สร้าง ส่วนขำแถมมาจากเจ้าพระยาทิพากรวงศ์มหาโกษาธิบดี (ขำ) เป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดนี้ ต่อมารัชกาลที่ 4 เปลี่ยนชื่อเป็นวัดอนงคาราม เราเดินเข้าจากทางด้านข้างวัดก็จะพบกับเสาหินเก่าแก่ที่เจ้าอาวาสชะลอขึ้นมาจากในน้ำ เสาหินนี้เคยใช้ผูกเรือที่ท่าน้ำหน้าวัด แต่หลังจากมีการตัดถนน ความนิยมการเดินทางทางน้ำหายไป เสาหินที่เคยมีประโยชน์จึงถูกทิ้งร้างไปนานก่อนจะถูกชะลอขึ้นมาตั้งในที่ปัจจุบัน และหน้าวัดก็กลายเป็นฝั่งติดถนนใหญ่แทน หลังจากไหว้พระในวิหารเราเดินดูรอบ ๆ วัดแต่น่าเสียดายที่โบสถ์ปิด ทำให้เราเข้าชมได้เพียงวิหารเท่านั้น ถนนข้างวิหารวัดนำพาเราตรงเข้าไปเจอ ศาลเจ้าพ่อเสือ เก่าแก่แห่งตลาดสมเด็จ บริเวณนี้เคยเป็นตลาดสมเด็จมาก่อนแต่หลังจากเกิดเพลิงไหม้ใหญ่เมื่อ พ.ศ. 2497 ตลาดก็หายไปกลายเป็นบ้านเรือนปลูกขึ้นมาแทนที่ แต่ที่น่าอัศจรรย์คือศาลเจ้าพ่อเสือไม่ได้รับความเสียหาย ทำให้เป็นที่ศรัทธาของชาวบ้านยิ่งขึ้น เดินต่อจากศาลเจ้าพ่อเสือไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับ อุทยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือที่เรียกกันติดปากว่าอุทยานสมเด็จย่า สวนสาธารณะร่มรื่นที่ตั้งขึ้นในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านหลังแรกของสมเด็จย่า นายแดง นานาและนายเล็ก นานาน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน 4 ไร่ ที่เคยเป็นบ้านและที่ดินในหมู่ตึกของแพ บุนนาค อธิบดีพระคลังสินค้าและต่อมาได้มีการจัดตั้งเป็นสวนสาธารณะ ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ทุกวันอาทิตย์มีกิจกรรมดนตรีในสวนด้วย ด้านหลังสวนสาธารณะคือ มัสยิดกูวติลอิสลามหรือมัสยิดตึกแดง ที่สร้างบนพื้นที่คลังสินค้าเดิมของสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อยสำหรับการประกอบศาสนกิจของชาวมุสลิมในย่านนี้ซึ่งมีทั้งที่มาจากเมืองสุรัตในอินเดีย ไทรบุรี และปัตตานี ผู้นำการสร้างคือฮัจยี อาลี อะหะหมัด นานา ต้นตระกูลนานาที่เข้ามาค้าขายผ้าในสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 วิวจากมัสยิดมองเห็นไปรษณียาคารอีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา ไปรษณียาคารคือที่ทำการไปรษณีย์แห่งแรกของสยาม อาคารจริงถูกทุบทิ้งเพื่อหลีกทางให้กับสะพานพระปกเกล้าเมื่อพ.ศ. 2525 และต่อมาได้มีการสร้างจำลองตามแบบเดิมเมื่อปี 2546 บริเวณใกล้กันคือ ศาลเจ้ากวนอู เก่าแก่ที่สุดในกรุงเทพ สร้างมาตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายนับถึงปัจจุบันก็อายุเกือบ 300 ปีแล้ว ภายในประดิษฐานกวนอูสามองค์ที่ชาวจีนฮกเกี้ยนอันเชิญมาจากเมืองจีน โดยองค์แรกเชิญมาตั้งแต่ พ.ศ. 2279 องค์ที่สองเมื่อปี พ.ศ. 2345 และองค์สุดท้ายซึ่งเป็นองค์ใหญ่ที่สุดเมื่อปี พ.ศ. 2365 วัดพุทธ ศาลเจ้าจีน และมัสยิดที่ปลูกในบริเวณใกล้กันสะท้อนถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขของคนหลากหลายความเชื่อและที่มานานนับร้อยปี หลังจากเดินกันมาเยอะแล้วเราหยุดพักที่คาเฟ่ติดกับศาลเจ้ากวนอู My Grandparent's House บ้านอากงอาม่า คาเฟ่ที่มีเรื่องเล่าไม่ธรรมดา เพราะที่นี่เคยเป็นโรงน้ำปลาทั่งง่วนฮะ เดิมต้นตระกูลทั่งสมบัติเดินทางมาจากเมืองจีน จึงเช่าบ้านนี้ทำกิจการ แต่ด้วยคิดว่าจะกลับบ้านเกิดเมืองนอนจึงไม่ได้ซื้อขาด แต่ต่อมาค่าเช่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จึงซื้อขาด เมื่อครั้งน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพปี พ.ศ. 2554 บ้านได้รับความเสียหายหนัก ทายาทจึงปรับปรุงบ้านใหม่จนกลายเป็นคาเฟ่อย่างในปัจจุบัน นั่งพักรับลมเย็น ๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยา แม้จะเป็นวันที่อากาศร้อน แต่ไม่ต้องพึ่งแอร์เลย เหมาะมานั่งจิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ชิลล์ ๆ เรื่องราวของคลองสานยังไม่หมดแค่นี้ แต่เราคงต้องขอยกไปต่อในตอนที่สอง แล้วอย่าลืมติดตามกันนะ