ตอนที่แล้วเคยเขียนเรื่องความสุขบาทเดียวเกี่ยวกับที่มาที่ไป (ไปแล้วจริง ๆ ) ของการ์ตูนเล่มละ1บาท - 5บาท ความสนุกกับแค่เหรียญบาทหนึ่งเหรียญก็สามารถซื้อมาอ่านและครอบครองได้ระยะจำนวน 24 หน้าเป็นมาตรฐาน บางสำนักพิมพ์ยังสามารถอัดได้ถึง 32 หน้า แต่ท้ายสุดก็ต้องลดจำนวนหน้าลงเพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกันคือ 16 หน้า (1หน้ายกกระดาษ) นับเป็นความบันเทิงราคาถูกบนความหลายอรรถรส นิทาน จักร์ ๆ วงศ์ ๆ พื้นบ้าน เรื่องผี ๆ ทะลุเป้าถึงขีดสุด และซา ซบเซา จนมอดมลาย ดับสูญ นั่นคือสิ่งหนึ่งในความทรงจำผู้เขียนเคยคร่ำหวอดอยู่ 10 กว่าปี ท้าย ๆ เริ่มผันตัวมาทางการ์ตูนแนวตลกจนจับเหนียวแน่นมาอีก 20 ปี สายนี้รู้สึกเข้าทาง ด้วยการวาดที่ไม่ต้องซับซ้อนมาก ไม่ต้องเดินเรื่องยาว แค่จบในหน้า 1 ช่องจบหรือ 3 ช่องจบ ภาพโปร่ง ๆ สบาย ๆ เส้นสายไม่ต้องเก็บละเอียด การ์ตูนแนวนี้จะเน้นดูง่าย อ่านเข้าใจง่ายปื้ดเดียวต้องรู้เรื่องไม่ต้องตีความนานแต่ใครจะรู้ว่าในความง่าย ๆ นั้นมันต้องผ่านความยากมาก่อน หลาย ๆ ครั้งที่ต้องคิดปวดหัวว่าจะเขียนอะไรดี เขียนแล้วจะทำให้คนขำได้ยังไงเคยมีคนถามว่าพี่เขียนยังไงให้ขำอ่ะ ผู้เขียนก็ตอบยาก / พี่ ๆ สอนเขียนตลก ๆ หน่อย/ อันนี้มันสอนไม่ได้หรอก ก็อยู่ที่คิดเอง ทำเอง บิ๊วอารมณ์ขึ้นเอง มีหลักนิด ๆ ว่าต้องลองทำตัวเป็นผู้อ่านว่าอยากอ่านอยากเห็นแบบไหน คิดแต่อะไร ๆ ที่บวก ๆ ไม่คิดแง่ลบ คิดในแง่ความไม่จริง คิดให้ต่างเขาเช่น 1+1 ต้องไม่ได้ 2 แต่ต้องได้ผลอะไรก็ได้เป็นผลลัพท์ที่ไม่ผิด เป็นผลที่ทุกคนยอมรับ ปูพื้นเดินเรื่องได้แต่สุดท้ายต้องหักมุมหรือตบมุกที่ใครคาดไม่ถึงและยอมรับว่าใช่แบบช่องเดียวจบคืออ่านแล้วรู้เรื่องในนั้นทันทีเหตุการณ์เดียวที่เป็นเรื่องราวแล้วปิดจบ แบบ 3 ช่องจบคือ 1..2...ปูเรื่อง เดินเรื่อง ช่อง 3 ต้องจบผ่าง ก็ ประมาณนี้ครับ เล่าให้ฟังตามประสบการณ์น่ะในส่วนของภาพก็เป็นขั้นตอนไป คิดแก๊ก ร่าง ตัดเส้น ถ้างานสีก็ลงสี งี้แหละครับ กว่าจะมาเป็นหนังสือสักเล่มในมือท่านก็ผ่านขบวนการมาพอสมควร ผู้เขียนถือว่าผ่านจุดนี้มาสัก 30 กว่าปีแล้วก็ยังไม่แตกฉานพอเลยและท้ายสุดสื่อสิ่งพิมพ์บางอย่างก็ล้มหายตายจากไปจากแผง เหลือไว้เพียงความทรงจำที่เปื้อนรอยยิ้ม ผู้เขียนจะบอกอีกครั้งว่ายังแอบชำเลืองตามแผงหนังสืออยู่ หวังว่าสักวันเล่มโปรดนั้นจะกลับมาอีกครั้ง แอบหวังเล็กๆ //// ทุกภาพ ลิขสิทธิ์ของผู้เขียน//