วันนี้จะมาแชร์ประสบการณ์ตรงของตัวเองว่ามีการดูแลตัวเองอย่างไรตั้งแต่มีการระบาดของ COVID-19 จนกระทั้งคนในครอบครัวติดเชื้อและหายป่วย เทคนิคต่าง ๆ ที่จะนำมาแชร์นี้เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้จริงและมีประสิทธิภาพจริงค่ะเนื่องมาจากคุณพ่อและคุณแม่ติดเชื้อ COVID-19 ในปลายเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงวิกฤติของสถานการณ์ผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทยเลยทีเดียว เตียงในโรงพยาบาลหายากมาก โรงพยาบาลสนามก็เต็ม ยาและแนวทางการรักษาโรคก็มีอย่างจำกัดและไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ทางครอบครัวเรายังโชคดีที่คุณพ่อได้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ในขณะที่คุณแม่ถูกประเมินว่าเป็นผู้ป่วยสีเขียว เราจึงตัดสินใจกันว่าจะดูแลคุณแม่กันเองที่บ้านเป็น Home Isolation เพราะที่บ้านมีความพร้อมเรื่องห้อง เรื่องการดูแล และตัวเราเองเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูงเพราะได้ใกล้ชิดกับทั้งสองท่าน จึงต้องทำการกักตัวไปด้วยเลย เราทุกคนแยกห้องนอน ห้องน้ำกัน แยกอุปกรณ์การรับประทานอาหารกัน ซึ่งคุณแม่ติดเชื้อแบบไม่มีอาการ มีเพียงอาการไอ ไม่มีไข้หรืออาการอื่นเลย คุณแม่ช่วยเหลือตัวเองได้ สิ่งที่เราคนที่ไม่ป่วยและเป็นผู้ดูแลคุณแม่ใช้เป็นหลักในการปฏิบัติตัวเป็นประจำในการป้องกันการติดเชื้อ COVID-19 มี 11 ข้อต่อไปนี้ซึ่งก็ถือว่าเป็น Universal prevention ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำเช่นกัน1. ออกจากบ้านเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้น และหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีความแออัด มีคนพลุกพล่าน เลือกเวลาที่ไม่มีคนพลุกพล่านในการทำกิจกรรมเช่น ไปธนาคารช่วงเวลา 14.00 วันพุธ ให้มีคนน้อยที่สุดเป็นต้น2. เว้นระยะห่างจากบุคคลอื่น 1-2 เมตร และคอยสังเกตอาการของผู้คนรอบข้างเสมอ หลีกเลี่ยงคนที่ป่วยเช่นคนที่ไอ หรือ จามถี่ ๆ ไม่ควรอยู่ใกล้คนเหล่านั้น3. สวมหน้ากากอนามัยและสวมทับอีกชั้นด้วยหน้ากากผ้าเพื่อให้หน้ากากกระชับพอดีกับใบหน้า หากหน้ากากใหญ่หรือสายรัดหย่อนก็ต้องรีบแก้ไขเพื่อให้หน้ากากแนบกระชับกับใบหน้าให้มากที่สุด กดลวดที่สันจมูกให้แนบชิดกับผิวหน้าให้มากที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้มีช่องว่างระหว่างหน้ากากและใบหน้า ต้องสวมหน้ากากให้ถูกต้องโดยต้องปิดทั้งจมูกและปากตลอดเวลาเมื่ออยู่ในสถานที่ที่มีคนอื่นอยู่ด้วย อยู่กัน 2 คนก็ต้องใส่หน้ากากทั้งคู่นะคะและไม่ใช้มือสัมผัสหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าที่สวมอยู่4. ไม่ใช้มือสัมผัสใบหน้า ตา จมูก ปาก โดยเด็ดขาดหากไม่มีการล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ก่อน5. ล้างมือให้บ่อยที่สุดด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ทุกครั้งหลังทุก ๆ การสัมผัสวัตถุสิ่งของทุกอย่าง เช่นขณะออกจากบ้านเราใช้มือจับลูกบิดประตู เราจึงควรฉีดแอลกอฮอล์ที่ลูกบิดประตูและมือของเราเดินไปขึ้นรถไฟฟ้า BTS เราหยิบเหรียญหยอดตู้เพื่อกดเหรียญโดยสาร เราจึงควรฉีดแอลกอฮอล์ที่กระเป๋าสตางค์ของเรา ที่เหรียญโดยสารและที่มือของเราซื้ออาหารกินที่โรงอาหาร หลังจากจ่ายเงินและรับอาหารมาแล้ว ก่อนรับประทานอาหาร ให้เราฉีดแอลกอฮอล์ทำความสะอาดที่มือของเราก่อน จึงถอดหน้ากากอนามัยเก็บแล้วล้างมืออีกครั้งก่อนลงมือรับประทานอาหาร เป็นต้น6. หากมีอาการป่วย เช่น เป็นภูมิแพ้หรือเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการออกจากบ้านหรือหากจำเป็นต้องออกไปก็ให้ใช้เวลานอกบ้านทำธุระให้สั้นที่สุด เพราะขณะที่เราป่วย ภูมิคุ้มกันของเราจะอ่อนแออยู่แล้วจึงไม่ควรออกไปเสี่ยงรับเชื้อ COVID-197. ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อวัตถุหรือพื้นผิวที่เราสัมผัสบ่อย ๆ เช่น กระเป๋าถือ กระเป๋าสตางค์ มือจับประตูรถ พวงมาลัยรถ เป็นต้น และควรฉีดแอลกอฮอล์ที่รองเท้าก่อนก้าวเท้าขึ้นรถด้วย8. แยกของใช้ทุกชนิด ไม่ใช้ของร่วมกับผู้อื่นเช่น จาน ช้อน ส้อม แก้วน้ำ ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า หากต้องใช้ห้องน้ำร่วมกับผู้อื่น หลังจากการใช้งานห้องน้ำแล้วเราควรจะล้างห้องน้ำทันที และปฏิบัติเช่นเดียวกันทุกคนเมื่อมีการใช้ห้องน้ำเสร็จ9. เลือกรับประทานแต่อาหารที่ปรุงสุกและไม่ค้างคืน หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารสดที่ไม่ผ่านความร้อนปรุงสุกเช่น ปลาดิบ สลัดผักสด ส้มตำปูปลาร้า ลาบ/ก้อย ที่ไม่มีการปรุงสุก และไม่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น หากต้องแชร์อาหารกัน ให้ใช้ช้อนกลางตนเองตักอาหารแบ่งปริมาณเท่าที่จะรับประทานแล้วแยกกันรับประทานอาหาร ไม่ใช้ช้อนกลางร่วมกันและแยกฟองน้ำล้างจานของใครของคนนั้นด้วย10. หากเราเป็นผู้มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ควรใช้ชุดตรวจ ATK (Antigen Test Kit) ตรวจเบื้องต้นด้วยตัวเองหลังการสัมผัสโรคในวันที่ 3, 5 และ 7 วัน และตรวจซ้ำได้หากมีอาการหรือไม่มั่นใจว่าจะติดเชื้อหรือไม่11. อีกสองสิ่งที่ควรมีติดบ้านและใช้เป็นประจำวันทุก ๆ วันในการตรวจสอบอาการของตนเองคือปรอทวัดไข้ ใช้วัดไข้เป็นประจำทุกวันและจดบันทึกไว้สำหรับผู้ป่วย Home Isolation และเช็คอุณหภูมิเพื่อให้แน่ใจว่าปกติ อุณหภูมิปกติคือไม่สูงกว่า 37.4 องศาเซลเซียสPulse Oximeter หรือ เครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว เพื่อเช็คค่าออกซิเจนในเลือดและอัตราการเต้นของหัวใจ ซึ่งค่าปกติของออกซิเจนในเลือดคือ 95-100% หากวัดได้ที่ 90-94% จะถือว่ามีความเสี่ยงที่จะมีภาวะออกซิเจนในเลือดต่ำ แต่ถ้าต่ำกว่า 90% ถือว่าอยู่ในขั้นวิกฤติ ต้องให้อ๊อกซิเจนและควรพบแพทย์ทันทีเคล็ดลับในการเลือกใช้หน้ากากอนามัยเลือกซื้อหน้ากากอนามัยที่ได้มาตรฐานและมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อโรค โดยสังเกตได้จากที่ระบุบนกล่องBFE (Bacterial Filtration Efficiency) หมายถึง ประสิทธิภาพในการกรองและการป้องกันเชื้อแบคทีเรีย หากมีการระบุตัวย่อ BFE กำกับไว้บนกล่องหน้ากากอนามัยจะหมายถึงประสิทธิภาพการกรองอนุภาคแบคทีเรียขนาดเล็กตั้งแต่ 3 ไมครอนขึ้นไปVFE (Virus Filtration Efficiency) หมายถึงประสิทธิภาพในการกรองและป้องกันเชื้อไวรัสรวมไปถึงสารคัดหลั่งได้PFE (Particulate Filtration Efficiency) หมายถึง ประสิทธิภาพการกรองและป้องกันอนุภาคขนาดเล็ก สามารถป้องกันอนุภาคขนาดเล็กตั้งแต่ 0.1 ไมครอนได้ รวมไปถึง PM2.5 ด้วย2. การสวมหน้ากากอนามัยเป็นเวลานาน อีกทั้งสวมไว้หลายชั้น แน่นอนว่าผู้สวมจะต้องรู้สึกอึดอัดและหายใจไม่สะดวก ส่วนตัวแล้วจะแก้ปัญหานี้ด้วยการหยดน้ำมันหอมระเหยหรือพิมเสนน้ำไว้บนหน้ากากอนามัยเพื่อให้ได้รับกลิ่นหอมสดชื่นจากเปปเปอร์มิ้นท์หรือพิมเสนช่วยให้รู้สึกหายใจได้สะดวกขึ้น รู้สึกเย็นขึ้น อีกทั้งยังเหมาะกับสภาพอากาศร้อนของบ้านเราอีกด้วย การได้ดมกลิ่นหอมสดชื่นขณะที่ต้องใช้หน้ากากอนามัยก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้เรามีอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย3. การเลือกใช้แอลกอฮอล์ในการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ มีข้อควรคำนึงถึงดังนี้หากเป็นวัสดุหรือพื้นผิวที่มีขนาดใหญ่เช่น โต๊ะ เก้าอี้ กระเป๋า ฯลฯ ควรใช้สเปรย์แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 70% ขึ้นไป เพราะการสเปรย์จะครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างกว่าหากเป็นการล้างมือ แนะนำให้ใช้เจลแอลกอฮอล์ เพราะมีส่วนผสมของเจลที่จะมาช่วยไม่ให้แอลกอฮอล์ปะทะกับผิวโดยตรงซึ่งจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ อาจจะทำให้เกิดปัญหาผิวหนังอักเสบหากเป็นการใช้เพื่อฆ่าเชื้อถุง/กล่อง ที่บรรจุอาหาร แนะนำให้ใช้สเปรย์แอลกอฮอล์แต่ต้องเป็นเกรดสำหรับอาหาร ซึ่งจะไม่เป็นอันตรายกับร่างกายและทางเดินอาหาร ภาพประกอบทั้งหมดโดยผู้เขียนเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !