ว่านชักมดลูกเป็นพืชที่มีสรรพคุณตามตำราสมุนไพรหลายประการ เช่น รากเป็นยาแก้ท้องอืด ลำต้นใต้ดินแก้มดลูกพิการ ทำให้มดลูกเข้าอู่เร็ว ประจำเดือนมาเป็นปกติ ช่วยย่อยอาหาร แก้ริดสีดวง และยังใช้ปรุงเป็นยาต้มแก้มดลูกพิการ ลดอาการปวดบวม ใช้ตำหรือฝนกับเหล้ากินแก้ปวดมดลูก หรือรับประทานร่วมกับเหล้าหรือ น้ำปูนใส สารออกฤทธิ์ที่พึงประสงค์ของว่านชักมดลูกคือ diarylheptanoids เป็นสารกลุ่มไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งมีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ มีช่วยรักษาสุขภาพของสตรีวัยทอง ช่วยในการกระชับผิวไม่ให้หย่อนคล้อย และลดเลือนริ้วรอยการสกัดสารออกฤทธิ์พึงประสงค์จากเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยง มีข้อได้เปรียบกว่าการใช้พืชที่ปลูกตามธรรมชาติ ดังนี้1. ควบคุมคุณภาพของสารสกัดได้ เนื่องจากความแตกต่างของพื้นที่ปลูกอาจมีผลให้ปริมาณและคุณภาพของสารออกฤทธิ์ไม่คงที่2. ไม่ต้องใช้พื้นที่เพาะปลูกขนาดใหญ่ และไม่ต้องอาศัยปัจจัยของสภาพแวดล้อมและฤดูกาล3. ปราศจากอุปสรรคด้านโรคและแมลงศัตรูในธรรมชาติ4. กำหนดชนิดของเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยงได้ตามต้องการ โดยไม่จำเป็นต้องตัดทำลายพืชทั้งต้น เนื่องจากสารสกัดบางอย่างอาจได้จากเนื้อเยื่อบางส่วนของพืชเท่านั้น5. ลดปัญหาการทำลายพืชพันธุ์ เป็นการช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรพันธุกรรมพืชในธรรมชาติการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อว่านชักมดลูกเพื่อผลิตสารออกฤทธิ์ที่พึงประสงค์ มีขั้นตอนดังนี้1. คัดเลือกหัวว่านชักมดลูกจากแหล่งพันธุกรรมที่ดี มีคุณภาพและปริมาณสารออกฤทธิ์ได้มาตรฐาน2. นำส่วนตา (bud) จากลำต้นใต้ดิน มาทำการฟอกฆ่าเชื้อเพื่อให้ได้ชิ้นส่วนในสภาพปลอดเชื้อ3. ทำการเพิ่มจำนวนยอดว่านชักมดลูก โดยเพาะเลี้ยงบนอาหารสูตร MS ที่เติม BA ความเข้มข้น 3 มิลลิกรัมต่อลิตร4. ชักนำให้เกิดแคลลัสและเพิ่มปริมาณบนอาหารสูตร MS ที่เติม 2,4-D ความเข้มข้น 0.1 มิลลิกรัมต่อลิตร5. ชักนำให้ยอดของว่านชักมดลูกเกิดรากบนอาหารสูตร MS ที่เติม IBA ความเข้มข้น 1.5 มิลลิกรัมต่อลิตร6. นำเนื้อเยื่อของว่านชักมดลูกจากส่วน ใบ แคลลัส และราก ไปสกัดสารและตรวจสารสกัดที่ได้ด้วยเทคนิค thin layer chromatography พบว่าเนื้อเยื่อใบมีสารออกฤทธิ์ชนิด diarylheptanoids ซึ่งเป็นสารพึงประสงค์ที่มีในหัวว่านชักมดลูกการใช้สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพจากพืชเพื่อเป็นส่วนประกอบของยาและเครื่องสำอาง มีแนวโน้มความต้องการสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นสาเหตุให้มีการนำทรัพยากรพืชมาใช้โดยขาดความระมัดระวัง ส่งผลกระทบต่อความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ดังนั้นการพัฒนาเทคนิคการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเพื่อผลิตวัตถุดิบพืช สำหรับการสกัดสารออกฤทธิ์ที่มีคุณภาพโดยไม่ต้องทำลายสิ่งแวดล้อม จึงเป็นเทคโนโลยีสีเขียว (green biotechnology) ที่น่าสนใจและส่งเสริมให้มีการศึกษาต่อไปเครดิตภาพ : ภาพปกและภาพประกอบทุกภาพโดยผู้เขียน (SaltLegume)เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !