แหล่งความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่รวบรวมข้อมูล โบราณวัตถุ และโบราณสถานต่างๆ ไม่มีที่ใดที่จะรวบรวมได้ดีไปกว่าพิพิธภัณฑ์ สำหรับเด็กรุ่นใหม่ๆ อาจจะตื่นเต้นที่ได้มาเที่ยวชม และศึกษา แต่สำหรับคนที่โตขึ้นมาหน่อยจนถึงวัยทำงานบางคนอาจจะไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไรขนาดนั้น คงเป็นเพราะภาพในความคิดที่มองพิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่เก่าๆ โทรมๆ ไม่น่าเที่ยวชมสักเท่าไหร่ แต่มาถึงวันนี้อยากให้พวกคุณลืมภาพพิพิภัณฑ์แบบก่อนๆ ไปได้เลย เพราะ " พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร " ได้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาปรับใช้ให้เราสะดวก และง่ายต่อการมาศึกษาอย่างมาก ที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ทำให้รู้สึกว่ามาแล้วอยากกลับไปอีกครั้ง ยอมรับตามตรงเลยว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้มามันเลยทำให้ผมไม่สามารถเผื่อเวลาให้มากพอที่จะศึกษาเที่ยวชมอย่างลึกซึ้งสำหรับใครที่จะมาอยากให้เผื่อเวลาให้ดีๆ ผมว่าประวัติศาสตร์ไทยยิ่งศึกษายิ่งภาคภูมิใจ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ด้านในจะเป็นอย่างไร และมีสิ่งที่น่าสนใจอะไรบ้าง... ผมจะพาทุกคนไปเดินชมไปพร้อมๆ กันเลย ! พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งอยู่บน ถนนหน้าพระธาตุ หรือสังเกตง่ายๆ ก็จะอยู่ระหว่างโรงละครแห่งชาติ กับ ม. ธรรมศาสตร์ อันดับแรกใครที่รู้ตัวว่าอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องเสียค่าเข้าชมก็เดินไปทางด้านซ้ายมือเพื่อไปยังช่องจำหน่ายตั๋วเลย ก่อนที่จะพาไปยังแนะนำจุดต่างๆ นั้นขอประชาสัมพันธ์ก่อนเลยว่าช่วงนี้มีนิทรรศการของจิ๋นซีฮ่องเต้ โดยกรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ของไทยได้ร่วมมือกับสำนักงานบริหารมรดกวัฒนธรรมมณฑลส่านซี รวบรวมโบราณวัตถุสำคัญต่างๆ รวมถึงกองทัพทหารดินเผามาจัดแสดงนิทรรศการพิเศษ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่วันนี้ ถึง15 ธันวาคม พ.ศ. 2562 ที่เห็นอยู่นี้คือ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน ที่จะใช้จัดแสดงนิทรรศการพิเศษต่างๆ อย่างที่กล่าวไปข้างต้นภายในจะมีการรวบรวมข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติจีน และจิ๋นซึฮ่องเต้ รวมถึงกองทัพทหารดินเผาที่เป็นหนึ่งในมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จิ๋นซีฮ่องเต้สร้างประวัติศาสตร์เอาไว้สิ่งที่จะทำให้ทุกคนต้องทึ่งในการเข้าชมนิทรรศการนี้คือ ม้าศึกดินเผา และหุ่นทหารดินเผาที่หน้าตาของหุ่นแต่ละตัวไม่เหมือนกันเลยแม้แต่ตัวเดียว แต่ในการมาจัดแสดงในครั้งนี้นำมาไม่เยอะเท่าไหร่ แต่ก็พอทำให้เราได้ตื่นเต้น ออกจากพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน เราไปต่อกันที่ พระที่นั่งพุทไธสวรรย์ ภายในเป็นที่เประดิษฐานพระพุทธรูปที่ศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองที่ความเก่าแก่ไม่แพ้พระแก้วมรกตเลย อย่าง พระพุทธสิหิงค์ ที่ทำจากสำริดหุ้มทองโดยพระองค์นี้ได้มาตั้งแต่สมัยสุโขทัย มาถึงนี้ทั้งทีก็ไม่ควรพลาดที่จะกราบไหว้ให้เป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง นอกจากนั้นด้านในยังมีจิตรกรรมฝาผนังสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ที่สวยงามมากที่ถ่ายทอดเกี่ยวกับพุทธประวัติ ตอนเทศนาโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จะสังเกตได้เลยว่าลวดลายจิตรกรรมฝาผนังนั้นยังคงปล่อยให้เป็นไปตามกาลเวลาไม่มีการลงสีทับเดิมแต่อย่างใด หลังจากกราบไหว้พระเสร็จแล้วผมได้เดินต่อมายัง พระตำหนักแดง ซึ่งภายในเป็นที่จัดแสดงสิ่งของส่วนพระองค์ของสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี และสิ่งของเครื่องใช้ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์สิ่งของบางชิ้นอย่างรองพระบาทก็ยังคงเก็บรักษาไว้ในตู้เป็นอย่างดีเป็นสิ่งที่หาโอกาสชมได้ยากมากเลยทีเดียว มาถึงตรงนี้เราจะได้เข้าสู่อาคารหลังใหญ่กันแล้วซึ่งมีชื่อเรียกว่า อาคารหมู่พระวิมาน มีจำนวนห้องทั้งหมด 10 ห้อง ดังนี้ พระที่นั่งบูรพาภิมุข จัดแสดงศัสตราวุธโบราณที่เคยใช้ในสงครามสมัยกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์ โมเดลจำลองการจัดกระบวนทัพตามตำราพิชัยสงคราม พระที่นั่งวสันตพิมาน (ชั้นบน) จัดแสดงเครื่องที่ประทับวังหน้า และเครื่องเรือนโบราณ พระที่นั่งวสันตพิมาน (ชั้นล่าง) จัดแสดงภาชนะเครื่องถ้วยในราชสำนักตั้งแต่สุโขทัยจนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ พระที่นั่งปัจฉิมาภิมุข จัดแสดงเครื่องโลหะศิลป์ อาทิพระถุทธรูป อาวุธ และภาชนะ ในรูปแบบของศิลปะช่างไทย พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข จัดแสดงเครื่องสัปคับ หรือที่เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ที่นั่งบนหลังช้างนั่นเอง มุขเด็จ จัดแสดงเครื่องไม้แกะสลัก ที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือในการแกะสลักนูนสูงนูนต่ำของช่างไทยได้เป็นอย่างดี พระที่นั่งอุตราภิมุข จัดแสดงอิสริยพัสตราภูษาภัณฑ์ เช่น ฉลองพระองค์ครุยในพระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และฉลองพระองค์ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ชั้นบน) จัดแสดงเครื่องใช้ในพุทธศาสนา พระที่นั่งพรหมเมศธาดา (ชั้นล่าง) จัดแสดงศิลปะเครื่องมุก เครื่องใช้ เครื่องเรือนประดับมุกต่างๆ เป็นต้น พระที่นั่งทักษิณาภิมุข จัดแสดงเครื่องมหรสพ และการละเล่นไทย อาทิหัวโขน และเศียรครูที่ถูกจัดแสดงได้อย่างมีมนต์ขลัง ที่ท่านเห็นอยู่นี้คืออยู่ในส่วนของ พระที่นั่งทักษิณาภิมุข ที่จัดแสดงหัวโขน และเศียรครูต่างๆ ก้าวแรกที่เดินเข้ามาในห้องนี้ก็รูัสึกขนลุกเบาๆ เพราะรู้สึกเหมือนกับว่าทุกสายตาของหัวโขน และเศียรครูกำลังจดจ้องมาที่เราสัมผัสได้ทันทีถึงความศักดิ์สิทธิ์ มุมนี้ก็เป็นเครื่องดนตรีมหรสพสิ่งของบางชินก็ถูกเก็บในตู้รักษาอุณภูมิเป็นอย่างดีเดินถัดมาอีกหนึ่งห้องที่เรียกว่า พระที่นั่งวสันตพิมาน ซึ่งห้องนี้เราจะได้เห็นเครื่องถ้วยในราชสำนักตั้งแต่สุโขทัยจนมาถึงกรุงรัตนโกสินทร์ เราจะได้เห็นถึงลวดลายต่างๆ ที่แตกต่างกันออกไประหว่างที่จะเดินไปยังอีกห้องหนึ่งก็ได้มาพบกับดาบอาญาสิทธิ์ของท่านเจ้าพระยาบดินทรเดชา - สิงห์ สิงหเสนี ซึ่งบางคนคงจะคุ้นหูกับชื่อนี้เป็นอย่างดีแต่จะมีสักกี่คนที่รูั้ถึงประวัติของดาบอาญาสิทธิ์ที่ท่านได้ครอบครอง ใครอยากรู้จริงๆ แนะนำให้มาชมให้เห็นกับตาแล้วคุณจะได้สัมผัสถึงอำนาจของดาบเล่มนี้ห้องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่น่าสนใจอย่าง พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข ที่จัดแสดงสิ่งที่เรียกว่า สัปคับ หรือที่ประทับบนหลังช้าง นั่นเอง ในห้องนี้เราจะได้เห็นที่ประทับบนหลังช้างหลากหลายแบบแล้วแต่ละแบบก็มีลวดหลาย และวัสดุที่ทำต่างกันไปห้องใกล้ๆ กันจะเป็นห้องเครื่องไม้จำหลัก (มุขเด็จ) และที่เห็นอยู่นี้ก็คือ ธรรมาสน์กลม หรือที่นั่งสำหรับพระสงฆ์นั่งเทศน์ เราจะได้เห็นถึงฝีมือช่างแกะสลักในสมัยก่อนว่ามีความประณีตเพียงใดและด้านหลังห้องธรรมมาสน์กลม ก็จะมี บานประตูพระวิหารหลวงวัดสุทัศน์ ที่สูงใหญ่มาก แล้วคุณรู้มั้ยว่าบานประตูนี้สร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2365 ซึ่งอายุราวๆ เกือบ 200 ปีเลยก็ว่าได้ หลายคนๆ เห็นอาจจะเฉยๆ แต่อยากให้คุณมองให้ลึกถึงลวดลายที่ช่างสมัยก่อนได้ทำการแกะสลักโดยไม่มีเทคโนโลยีใดๆ ซึ่งเป็นอะไรที่สุดยอดมากๆไปต่อกันที่ห้อง พระที่นั่งอุตราภิมุข ที่จะเก็บผ้าในราชสำนักต่างๆ และที่เห็นอยู่นี้เป็นฉลองพระองค์ครุยในพระบาทสมเด็จพระจอมเก้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 และฉลองพระองค์ของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ซึ่งของในตู้ถูกรักษาอุณภูมิเป็นอย่างดีเพื่อให้คงสภาพอย่างสมบูรณ์ที่สุด เป็นอีกหนึ่งห้องที่ประทับใจมากๆและก็มาถึงห้องสุดท้ายของหมู่พระวิมานนี้ อย่าง พระที่นั่งบูรพาภิมุข ที่จัดแสดงศัสตราวุธโบราณ และที่ท่านเห็นอยู่นี้เป็นโมเดลจำลองการจัดกระบวนทัพตามตำราพิชัยสงครามซึ่งก็ทำโมเดลถ่ายทอดให้ชมได้อย่างชัดเจนเลยทีเดียวและไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือชุดยันต์ในสมัยก่อนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะเก็บรักษาไว้ให้เราได้มาชมจนทุกวันนี้ เป็นสิ่งของอีกหนึ่งชิ้นที่หาชมได้ยากเช่นกันหุ่นช้างศึกตัวนี้คุณเชื่อมั้ยว่าเหมือนจริงมากทั้งสีสัน และพื้นผิวของตัวช้างเป็นนิทรรศการที่ยิ่งชมแล้วยิ่งอินเหมือนอยู่ในอดีตเลย ถัดจาก อาคารหมู่พระวิมาน จะเป็น อาคารประพาสพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงนิทรรศการประวัติศาสตร์โบราณคดีในประเทศไทยหลังพุทธศตวรรษที่ 18 อย่าง ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปะแห่งกรุงศรีอยุธยา และ ห้องประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปะแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขออภัยที่ไม่ได้เก็บภาพมาให้ท่านได้ชม โซนสุดท้ายที่ผมจะแนะนำก็คือ โรงราชรถ ที่จัดเก็บราชรถที่ใช้ประกอบพิธีสำคัญต่างๆ ของพระมหากษัตริย์ อย่าง พระมหาพิชัยราชรถ ที่ใช้ขบวนราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และราชรถอื่นๆ ที่ใช้กับพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง พระโกศจันทน์ ของสมเด็จพระศรีนครินทราบมราชชนนี เป็นต้น ที่เห็นอยู่นี้เป็น พระมหาพิชัยราชรถ ที่ใช้ขบวนราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา หลายๆ คนอาจจะไม่เคยเห็นของจริงก็สามารถมาชมได้ที่นี่เลย ความรู้สึกเมื่อได้มาเห็นมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนเหตุการณ์พึ่งผ่านมาไม่นานนี้เองใกล้ๆ กันก็จะเป็นหีบพระศพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือรัชกาลที่ 9 ต้องบอกเลยว่าโรงราชรถนี้มีกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์มากๆ ถ้าคนน้อยไม่อยากจะคิดเลยจะวังเวงขนาดไหนส่วนหีบพระศพนี้ก็ของสมเด็จพระศรีนครินทราบมราชชนนี ซึ่งหีบนี้อยู่ด้านหลังหีบพระศพที่กล่าวไปก่อนหน้านี้มากันต่อที่หุ่นเทวดาๆ ไม่คิดเลยว่าจะเหมือนจริงขนาดนี้สมแล้วที่จะใช้ประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชก็เป็นอันจบการรีวิวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนคร จำนวนเงิน 30 บาท แลกกับความรู้ และความประทับใจบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก ของทุกสิ่งทุกอย่างมีเรื่องราวมากมายให้เราได้ศึกษา หากคุณไม่รีบล่ะก็ขอให้ใช้ทุกนาทีให้มีค่าที่สุด ลองเปลี่ยนจากเดินห้างมาเข้าพิพิธภัณฑ์ดูบ้าง แล้วคุณจะหลงรัก วันและเวลาทำการ วันพุธ-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 09.00-16.00 น. อัตราค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท ยกเว้นค่าเข้าชม : เด็ก / นักเรียน / นักศึกษา / ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป / พระสงฆ์ การเดินทาง รถโดยประจำทางสาย 3, 6, 9, 30, 33, 43, 53, 59, 64, 65, 70, 80, 82, 91, 123, 124, 201, 503, 507, A4 ช่องทางการติดตาม https://www.facebook.com/iwillgo.thailand