ในภาวะวิกฤตการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มีหลากหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่าง ๆ ขณะเดียวกันก็มีบางธุรกิจที่โตสวนกระแส ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการฉีดพ่นทำความสะอาด และร้านค้าออนไลน์ เป็นต้น รวมถึงหลายคนอาจจะนึกถึงธุรกิจออนไลน์อย่างโซเชียลมีเดีย และวงการสตรีมมิ่งต่าง ๆ อย่าง Netflix ที่น่าจะกวาดผลกำไรในช่วงที่คนหากิจกรรมทำระหว่างกักตัวอยู่บ้าน แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดคิด เพราะกลับต้องเผชิญ ความท้าทายของ "Netflix" ในช่วงวิกฤต "COVID-19"สำหรับ Netflix คือผู้นำบริการสตรีมมิ่งความบันเทิงระดับโลก ทั้งซีรีส์ สารคดี และภาพยนตร์หลากหลายแนว หลายภาษา มีจุดเริ่มต้นมาจาก รีด เฮสติงส์ และ ผู้บริหารซอฟต์แวร์ มาร์ก แรนดอล์ฟ ร่วมกันก่อตั้ง Netflix เพื่อให้บริการเช่าภาพยนตร์ออนไลน์ ในปี 1997 จากนั้นในปี 1998 Netflix ได้เปิดตัว Netflix.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์สำหรับเช่าและขายดีวีดีแห่งแรกของโลกโดยปัจจุบัน Netflix มีบัญชีผู้ใช้กว่า 167 ล้านบัญชีทั่วโลก ในจำนวนกว่า 190 ประเทศ ซึ่งในปี 2019 Netflix สร้างกำไรได้มากถึง 1,867 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 61,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2018 ที่ 54%แม้สถานการณ์โควิด-19 ดูท่าจะไม่ได้ทำให้สตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่อย่าง Netflix จะสูญรายได้ และยังน่าจะเพิ่มยอดคนชมได้มากขึ้นในช่วงที่คนทั่วโลกต่างต้องอยู่ในมาตรการต่าง ๆ เช่น อยู่ในช่วงกักตัว (Self Qurantine) หรือ เว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) หรือทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) ทำให้ช่วงที่ผ่านมา Netfilx ออกมาตรการลด Bit Rate ของวีดีโอเพื่อลดความแออัดบนเซิร์ฟเวอร์ลง 25% เป็นเวลา 30 วัน เริ่มจากยุโรป ตามด้วยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เพื่อให้ผู้ชมชมได้อย่างลื่นไหลมากยิ่งขึ้น(ภาพจาก Pexels)อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัดคือ ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายนนี้ Netflix กลับเผชิญวิกฤตคือ ไม่สามารถถ่ายทำหนังหรือซีรีส์ใหม่ ๆ ได้ เนื่องจากมาตรการปิดพื้นที่ พักกิจการบางอย่าง ในหลายประเทศ ทำให้ Netflix ขาดคอนเทนต์ใหม่ ๆ ที่จะนำมาลงจอสตรีมมิ่งให้สมาชิกได้ชมกันแม้ Netflix ยังคงมีคอนเทนต์ให้ผู้ชมได้ชมอย่างต่อเนื่อง และมีซีรีส์/หนังใหม่ในทุกสัปดาห์ แต่ก็ไม่ได้ใหม่เอี่ยม เพราะยังเป็นซีรีส์จากค่ายอื่น ๆ หรือหนังเก่า ที่ได้ลิขสิทธิ์มาฉายเท่านั้น เช่น The 100 Season 5, Lady Bird รวมถึงซีรีส์ของ Netflix เองที่โชคดีถ่ายทำเสร็จและได้ฤกษ์ฉายพอดีอย่าง The King Eternal Monarchจึงเป็นความท้าทายของ Netflix ว่า หากสถานการณ์โควิด-19 ยังไม่ดีขึ้นในเร็ววันนี้ สตรีมมิ่งวิดีโอจะทำการตลาดอย่างไรให้มัดใจคนชม เพราะหากไม่มีอะไรใหม่ ๆ มาเสิร์ฟผู้คนที่หากิจกรรมทำระหว่างอยู่บ้าน เชื่อว่าผู้ชมอาจจะเลือกไปทำกิจกรรมอื่น ๆ แทนแน่นอนขณะเดียวกัน ด้านผู้ชม หากต้องอยู่ในสภาวะเช่นนี้ต่อไป ก็อาจจะเลือกทำกิจกรรมอื่น ๆ แทนการชม Netflix เพียงอย่างเดียว ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ทำอาหาร เป็นต้น อีกทั้งหากเผชิญภาวะที่แย่กว่านั้นคือ ขาดรายได้ ส่งผลให้ต้องลดการใช้จ่าย อาจส่งผลให้ผู้ชมมองว่าการเสียเงินจ่ายค่าสมาชิก Netflix ทุกเดือนเป็นรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยก็เป็นได้ โดยด้านผู้ชมเองสามารถเลือกช่องทางอื่น ๆ ในการรับชมหนังหรือซีรีส์โดยไม่เสียค่าสมาชิกรายเดือน หรือเสียน้อยกว่า เช่น TV YouTube และเว็บฟรีต่าง ๆ เป็นต้นนอกจากนี้ รูปแบบการสมัครสมาชิกที่ Netflix ให้ทดลองใช้ฟรี 1 เดือน อาจทำให้มีคนมาสมัครสมาชิกเพิ่ม แต่เมื่อพ้นช่วงทดลองไปแล้วก็อาจยกเลิกไปได้เช่นเดียวกัน เพราะมองว่าเป็นรายจ่ายฟุ่มเฟือยและมีช่องทางอื่น ๆ ทดแทนได้(ภาพจาก Pexels)โดยปัจจุบันตลาด Streaming Media สำหรับชมซีรีส์และภาพยนตร์ มีการแข่งขันกันอย่างหนัก มีหลากหลายเจ้าให้ผู้ชมได้เลือกตรงตามคอนเทนต์ที่ชื่นชอบNetflix เน้นคอนเทนต์หลากหลายแนว หลากสัญชาติ มีทั้งซีรีส์/ภาพยนตร์เรื่องดังที่ลงทุนซื้อลิขสิทธิ์มาฉาย แต่ก็จะมีช่วงเวลาในการออนแอร์ ส่วนสิ่งที่เป็นจุดขายคือ ซีรีส์/ภาพยนตร์ ที่ลงทุนสร้างเอง โดยมีการจับมือกับค่ายหนังหลากสัญชาติ ซึ่งซีรีส์ที่ได้รับกระแสตอบรับดี เช่น Stranger Things, Kingdom และซีรีส์ไทยเรื่องแรกอย่าง เคว้งHBO Go เน้นเจาะกลุ่มคอซีรีส์/หนัง ฝั่งตะวันตก โดยเฉพาะเรื่องฮอตฮิตที่ไม่มีฉายที่ไหน อย่างซีรีส์เรื่องดัง Game of ThroneVIU หากใครเป็นคอซีรีส์ฝั่งเอเชีย ไม่ควรพลาดกับ VIU เพราะเป็นแหล่งสตรีมมิ่งยอดฮิต รวบรวมรายการวาไรตี้ ซีรีส์เอเชีย ทั้งไทย จีน เกาหลี ฯลฯ เจาะกลุ่มชาวเอเชียโดยเฉพาะHulu แม้อาจจะไม่ได้รับกระแสมากนักจากนักชมชาวไทย แต่หากใครชื่นชอบผลงานจาก Disney น่าจะมีแอปพลิเคชันนี้ติดเครื่องกันแน่นอน เพราะ Hulu มีดิสนีย์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ทำให้มีรายการ/หนังจากดิสนีย์จำนวนมากให้เลือกชมหลากหลายMonomax วิดีโอสตรีมมิ่งของคนไทย ที่มีทั้งซีรีส์ ภาพยนตร์ กีฬา ให้ชมอย่างจุใจ สำหรับภาพยนตร์จะเน้นไปที่ฝั่งเอเชียมากกว่า และเน้นแนวแอคชั่นเป็นหลักและพลาดไม่ได้กับ True ID ที่เปิดให้ชมฟรีไม่เสียค่าใช้จ่าย ทั้งรายการทีวีสด ซีรีส์ ภาพยนตร์ กีฬา ทั้งนี้หากต้องการชมรายการเพิ่มเติมสามารถสมัครแพ็คเกจเพิ่มเติม(ภาพจาก Pexels)การแข่งขันที่รุนแรงนี้ หากไม่แกร่งจริงก็อาจไม่มีที่ยืน อย่างล่าสุด HOOQ สตรีมมิ่งวิดีโอยักษ์ใหญ่ ที่ตีตลาดในแถบประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต้องพับโปรเจกต์ไป หลังจากเปิดให้บริการกว่า 5 ปี เนื่องจากตลาดสตรีมมิ่งวิดีโอต้องใช้ทุนมหาศาลในการลงทุนเพื่อซื้อลิขสิทธิ์หนังมาฉาย อีกทั้งในไทย HOOQ ยังไม่ได้รับความนิยมเทียบเท่ากับ Netflix หรือ iFlix ทำให้ต้องประกาศปิดตัวลง โดยล่าสุดเมื่อช่วงเดือนมีนาคมได้ประกาศล้มละลายลง พร้อมขายทรัพย์สินชำระหนี้แล้ว (ที่มา Techcrunch)จึงเป็นเรื่องที่หลากหลายธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับออนไลน์ไม่ควรนิ่งนอนใจในภาวะวิกฤตนี้ เพราะแม้กระทั่งธุรกิจออนไลน์อย่าง Netflix ที่ดูท่าจะได้รับผลประโยชน์เต็ม ๆ แต่กลับยังเผชิญวิกฤต เกิดเผชิญความท้าทายเช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ แม้จะคนละแนวทางก็ตาม เราจึงหวังว่า วิกฤตการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่นี้ จะจบสิ้นในเร็ววัน เพื่อที่ทุกภาคส่วนจะได้กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขต่อไปภาพปก Pexels