เมื่อเอ่ยถึงผลงานวรรณกรรมภายใต้การรังสรรค์จากนามปากกา ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี ๒๕๓๙ เชื่อแน่ว่าคอนวนิยายแนวสร้างสรรค์ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงวรรณกรรมมายาวนาน น่าจะรู้จักและคุ้นเคยกันดีกับเอกลักษณ์การสร้างตัวละครที่มีมิติรอบด้าน จนได้รับฉายาว่าเป็นนักเขียนมือหนึ่งที่จำลองภาพของมนุษย์ออกมาได้อย่างสมจริงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์ผลงานภายใต้นามปากกา ศรีฟ้า ลดาวัลย์ หรือในนามปากกาอื่น คือ สีฟ้า และ จุลลดา ภักดีภูมินทร์ อาทิ ใต้ฟ้าสีคราม บ่วง ริษยา ขมิ้นกับปูน ใครกำหนด กุหลาบไร้หนาม ข้าวนอกนา ปราสาทมืด ไม้อ่อน-สมการวัย เครื่องแบบสีขาว-พรหมไม่ได้ลิขิต เรือนแรม พิกุลแกมเกดแก้ว และ โสนบานเช้า คัดเค้าบานเย็น เป็นต้นในบรรดาผลงานอันหลากหลายของประพันธกรชั้นครูผู้นี้ ถึงแม้ว่าบางท่านจะไม่เคยอ่านในรูปแบบนวนิยาย ก็อาจจะพอคุ้นหูคุ้นตากันบ้างไม่มากก็น้อยผ่านการนำไปสร้างสรรค์ต่อในรูปแบบของภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ ยกเว้นผลงานนวนิยายอันเป็นเพชรน้ำเอกเรื่องหนึ่ง ภายใต้การรังสฤษฏ์ในนามปากกา ศรีฟ้า ลดาวัลย์ นั่นก็คือนวนิยายเทิดพระเกียรติบุรพกษัตราธิราชเจ้าที่เขียนขึ้นจากการ ‘อิง’ พงศาวดาร คำบอกเล่า จดหมายเหตุ และเอกสารต่าง ๆ จนกลายมาเป็นนวนิยายที่มีความยาวเกินกว่า ๑,๐๐๐ หน้าซึ่งมีชื่อเรื่องว่า บุญบรรพ์บุญบรรพ์ ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นตอน ๆ ครั้งแรกในนิตยสารสกุลไทย ราวปี พ.ศ.๒๕๔๕ –๒๕๔๘ โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น ๒ ภาค คือ บุญบรรพ์ บรรพ ๑ และ บุญบรรพ์ บรรพ ๒ โดย บุญบรรพ์ บรรพ 1 ได้รับการพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ส่วน บุญบรรพ์ บรรพ ๒ ได้รับการพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ โดยสำนักพิมพ์เพื่อนดีบุญบรรพ์ บรรพ ๑ จับความเริ่มเรื่องตั้งแต่ปลายแผ่นดินของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช แห่งกรุงธนบุรี ไปจนถึงต้นแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๓ เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ ผ่านตัวละครเอกที่ทำหน้าที่เป็นประหนึ่งผู้เล่าเรื่องราวทั้งหมด คือ ทองมา ซึ่งเป็นพี่เลี้ยงของ ‘หนูมาเรียม’ ธิดาของคุณหญิงเพ็งและพระยานนทบุรี ซึ่งต่อมาได้เป็น เจ้าจอมมารดาเรียม (สมเด็จพระศรีสุลาลัย) พระสนมเอกใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.๒) และพระบรมราชชนนีพันปีหลวงใน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) โดยใช้ความร่าเริงช่างพูดช่างเจรจาของ ทองมา ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างแนบเนียนและคุ้มค่าที่สุดสำหรับการสร้างตัวละครตัวหนึ่ง ๆ ขึ้นมา "บัดเดี๋ยวนี้ขุนหลวงก็เป็นถึงเจ้าแผ่นดิน เจ้าชีวิตของคนทั้งหลายทั้งปวงแล้ว เป็นที่สุดที่แม่จักสอนจักเตือน ด้วยทรงทราบทุกสิ่งทุกอย่างแก่พระทัยเป็นอันดีแล้ว ตะว่า...นั่นแล เถิงกระนั้นแม่ก็ยังมิอาจละห่วงใยเสียได้ ขอขุนหลวงจงอย่าได้เชื่อในบุญวาสนาของตัวเองจนลืมตัว ด้วยบุญวาสนาตะปางใดก็ตามทีเถิด หากแม้นมิประกอบคุณงามความดีในปรัตยุบันนี้ บุญวาสนาก็หาเป็นสิ่งยั่งยืนไม่...ขึ้นชื่อว่าขุนหลวงพระมหากษัตริย์เป็นเจ้า มิว่าดีมิว่าชั่ว พระนามนั้นเขาต้องจดต้องจำกันไปในภายภาคหน้าหาลืมไม่ หากดีเขาก็จักยกขึ้นมาสรรเสริญ หากชั่วเขาก็จักขุดขึ้นมาด่าว่าประจาน ร้อยปีพันปีมิมีลืมเลือน ขอให้ขุนหลวงของแม่จงเป็นประดุจเพชร แม้นจักมีผู้กล่าวโทษใด ๆ ในภายภาคหน้าก็ยังคงเป็นเพชร มิมัวหมองไปได้ " (จาก บุญบรรพ บรรพ ๑)ดังนั้นสำหรับเรื่องราวใน บุญบรรพ์ บรรพ ๑ นอกจากจะเป็นการเฉลิมพระเกียรติบุรพกษัตริย์นับตั้งแต่ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช มาจนถึง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) แล้ว ยังเป็นการเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระศรีสุลาลัย ในฐานะ “เมีย” และ “แม่” ผู้ประเสริฐอีกด้วยบุญบรรพ์ บรรพ ๒ ได้สานต่อเรื่องราวหลังจากการขึ้นครองราชย์ของ สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) ในฐานะพระมหากษัตริย์ประมุขแห่งสยามประเทศ ที่ต้องนำพาบ้านเมืองให้รอดพ้นจากอริราชศัตรูในยุคที่ประเทศทางฝั่งตะวันตกเริ่มออกล่าอาณานิคม อีกทั้งยังเป็นผู้ทรงปูพื้นฐานการปกครองและการค้า นำพาให้สยามประเทศก้าวเข้าสู่ยุคทองทางด้านเศรษฐกิจอีกด้วย ซึ่งใน บุญบรรพ์ บรรพ ๒ นี้ นอกจากจะมี เจ้าคุณทองมา ในช่วงอายุที่เพิ่มมากขึ้นตามวัยเป็นผู้เล่าเรื่องแล้ว ยังมี หง เป็นอีกตัวละครหนึ่งที่เพิ่มเข้ามา เพื่อช่วยบอกเล่าเรื่องราวต่อเนื่องใน บุญบรรพ์ ไปจนจบสมบูรณ์ศรีฟ้า ลดาวัลย์ จรดปลายปากกาเริ่ม บุญบรรพ์ บรรพ ๒ ในบทที่ ๑ ด้วยฉากความโศกเศร้าของ “...พระบรมโกศพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแผ่นดินที่สองแห่งกรุงเทพฯ รัตนโกสินทร์สยามประเทศ (ซึ่ง) ประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” (จาก บุญบรรพ บรรพ ๒) จนกระทั่งมาถึงตอนจบในบทที่ ๘๔ ด้วยการพรรณนาเป็น ‘นัย’ ถึงวาระสุดท้ายของ เจ้าคุณทองมา หลังจากที่ หง ได้นำข่าวจากในวังมาแจ้งว่า — “สมเด็จพระพันปีของทองมา ... บัดนี้พระราชปนัดดาของพระองค์ทรงได้รับสถาปนาเป็นพระอรรคราชเทวีถึงสองพระองค์ แลบัดนี้พระองค์หลัง ทรงประสูติพระราชโอรสพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าเป็นเจ้าฟ้าประสูติในเศวตฉัตร พระองค์แรกคงพระเกียรติยศหน่อพระพุทธเจ้าเต็มที่ตามโบราณราชประเพณี...แลขณะนั้นเอง ...ชะรอยจะเป็นภาพลวงอันใจนิมิตขึ้นมาหรืออย่างไรกันหนอ เจ้าคุณทองมาจึงมองเห็นสมเด็จพระพันปี เจ้าประคุณทูนหัวของเจ้าคุณเสด็จมา ทรงยืนอยู่เบื้องหน้า พระพักตร์นั้นสว่างผ่องใส ทอดพระเนตรดูเจ้าคุณทองมา แล...เมื่อกำลังจะทรงเลือนหายไป ใจเจ้าคุณทองมาก็พลันหายวับ อีกทั้งร่างเบาหวิวนั้นพลอยปลิดปลิวตามเสด็จพระองค์ท่านไปด้วยแรงอาวรณ์...” (จาก บุญบรรพ บรรพ ๒)หากให้พิจารณาเปรียบเทียบกับตัวละครในเรื่อง สี่แผ่นดิน ของ คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่นักอ่านต่างรู้จักกันดี เจ้าคุณทองมา ใน บุญบรรพ์ ก็คงไม่ใช่ตัวละครใดอื่น นอกจากตัวละครที่เป็นตัวเดินเรื่องอย่าง แม่พลอย นั่นเองถึงแม้ว่า บุญบรรพ์ จะเป็นนวนิยายที่อัดแน่นไปด้วยสาระความรู้ทางประวัติศาสตร์ แต่ผู้อ่านก็ไม่ต้องกังวลไปก่อนว่า บุญบรรพ์ จะเป็นนวนิยายที่อ่านยาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าในท้ายเล่มของ บุญบรรพ์ นั้น ผู้ประพันธ์ได้เขียน คู่มือการอ่านบุญบรรพ์ เพิ่มเติมรายละเอียดเอาไว้ด้วยทั้ง บรรพ ๑ และ บรรพ ๒ เลยทีเดียว อีกทั้งในนวนิยายแต่ละบทก็มีความยาวไม่มากนัก เพื่อให้ผู้อ่านสามารถจดจำรายละเอียดและละเลียดเข้าถึงเรื่องราวในแต่ละบทตอนได้อย่างเต็ม ‘กระบวนความ’ และ ‘กระบวนสาร’ นั่นเองศรีฟ้า ลดาวัลย์ เจ้าของบทประพันธ์ บุญบรรพ์ เคยกล่าวไว้ว่าสำหรับนวนิยายเรื่อง บุญบรรพ์ นี้ เธอขอสงวนไว้สำหรับให้อ่านในรูปแบบนวนิยายเท่านั้น ขอปฏิเสธสำหรับการ ‘ซื้อ-ขาย’ เอาบทประพันธ์ไปทำเป็นละครโทรทัศน์ เพราะว่าตนไม่ปรารถนาจะให้นักแสดงคนไหนมา ‘เล่น’ เป็น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ร.๑) พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (ร.๒) พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๓) สมเด็จพระศรีสุลาลัย รวมไปถึงพระบรมวงศานุวงศ์อีกหลายพระองค์ที่ปรากฏ ‘บทบาท’ โลดแล่นอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ ดังนั้นใครที่ไม่ใช่ ‘นักอ่าน’ ทว่ายังมีความสนใจเฝ้ารอติดตามผลงานของ ศรีฟ้า ลดาวัลย์ ในรูปแบบของละครโทรทัศน์เหมือนกับเรื่องอื่น ๆ แล้วล่ะก็ เห็นจะต้อง ‘จำเป็น’ ลงมืออ่านกันเอาเองเสียแล้วบุญบรรพ์ ได้รับการคัดเลือกให้เป็น ๑ ใน ๓๘ วรรณกรรมสมบัติชาติที่คนรุ่นหลังควรอ่าน จากกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม กรมส่งเสริมวัฒนธรรม เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๗ เนื่องในโอกาสครบรอบ ๑๐๐ ปีวรรณคดีสโมสร จากการพิจารณาผลงานชิ้นเอกของศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๘ – ๒๕๕๕ จำนวนทั้งสิ้น ๓๘ ท่าน ทั้งนี้โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อยกย่องวรรณกรรมที่ทรงคุณค่าให้เป็นมรดกของชาติ ส่งเสริมให้คนไทยได้อ่านหนังสือที่มีคุณค่า ทั้งในด้านเนื้อหา ภาษา และแนวคิด จึงอาจนับเป็นเครื่องการันตีได้ว่านวนิยายเรื่องนี้คือเพชรน้ำงามอีกเม็ดหนึ่งของวงวรรณกรรมที่ผู้รู้หนังสือไม่สมควรพลาดด้วยประการทั้งปวงภาพประกอบ โดย ผู้เขียน