Photo by Mohammed Hassan on Unsplash เราทุกคนรู้ดีว่าหัวใจทำงานตลอดเวลา จึงเรียกได้ว่าเป็นอวัยวะภายในที่ทำงานหนักเพื่อให้ร่างกายของเรามีชีวิตอยู่ได้ในทุกวัน การสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ในร่างกายอาศัยอวัยวะที่มีขนาดเท่ากำปั้น แต่รู้ไหมว่า “ดวงตา” เป็นอวัยวะที่ขยันทำงานรองลงมาจากหัวใจ เป็นเพราะอะไรมาดูกัน Photo by Quinten de Graaf on Unsplash ในหนึ่งวันเรากระพริบตามากกว่าสองหมื่นครั้ง และทำให้กล้ามเนื้อของตายังทำงานมากกว่าหนึ่งแสนครั้งอีกด้วย แล้วทำไมมันถึงทำงานเยอะขนาดนั้นกันล่ะ? ขนาดนักกีฬาที่แข็งแรงมากที่สุดก็ไม่สามารถออกกำลังกายให้กล้ามเนื้อขยับทำงานมากกว่าหนึ่งแสนครั้งต่อวัน แต่เปลือกตาของเราทุกคนทำงานทุกวันโดยไม่หยุดพักเฉกเช่นเดียวกับหัวใจเลย Photo by Alexander Andrews on Unsplash โดยปกติแล้วมนุษย์จะหลั่งกรดแลคติกออกมาสะสมในกล้ามเนื้อเมื่อออกกำลังกาย แม้ว่ากรดดังกล่าวจะมีประโยชน์ต่อร่างกายของเราแค่ไหน แต่หากว่ามีมากจนเกินอัตราสะสมจะทำให้อัตราการเผาผลาญส่งผลเสียต่อสายตาได้ กรดแลคติกจะถูกสลายโดยออกซิเจนก่อนส่งไปยังกระแสเลือด ดังนั้นถ้าหากออกซิเจนไม่เพียงพอจะทำให้เรารู้สึกเหนื่อยและเมื่อยล้ากล้ามเนื้อเวลาออกกำลังกาย รวมทั้งการทำงานของกล้ามเนื้อก็จะเสื่อมถอยลงอีกด้วย Photo by Quinten de Graaf on Unsplash ทั้งนี้กล้ามเนื้อตาจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อการไหลเวียนของเลือดทำได้ดี และมีการส่งออกซิเจนไปยังดวงตาอยู่สม่ำเสมอ แต่เป็นที่น่าเสียดาย ไม่ว่าร่างกายของเราจะพยายามส่งออกซิเจนไปยังดวงตามากสักแค่ไหน แต่ระดับการส่งต่อออกซิเจนสูงสุดของคนเราจะลดลงไปตามการเสื่อมของหัวใจและปอด ร่างกายของมนุษย์เราเมื่อมีอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มเสื่อมถอย จากเดิมที่ร่างกายสามารถใช้ออกซิเจนสูงสุด 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เมื่อถึงอายุ 80 ปี การเสื่อมถอยของหัวใจและปอดจะทำให้ร่างกายส่งต่อออกซิเจนสูงสุด เพียง 30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงเวลาตื่นนอน เรารับรู้ว่า ณ ขณะนั้นเป็นตอนเช้าก็เพราะเรามองเห็นแสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์ทางทิศตะวันออก เราใช้สายตามองหาโทรศัพท์มือถือแล้วเปิดมันเพื่อให้แสงสีฟ้าทำร้ายดวงตาของเรา เราไม่เคยใส่ใจดวงตาซึ่งเป็นอวัยวะที่สำคัญอันดับหนึ่งเลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งตอนนี้คุณอาจจะกำลังอ่านบทความภายใต้แสงสลัวอยู่ก็ได้ Photo by Mohammed Hassan on Unsplash ประสาทสัมผัสทั้งห้าของมนุษย์ไม่ว่าจะเป็น การมองเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัส จะถูกเปลี่ยนเป็นสัญญาณส่งตรงไปยังสมองเพื่อให้ร่างกายของเราตอบสนองและแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ ออกมา หลายคนมักตั้งคำถามว่าหากเราเสียประสาทสัมผัสไปหนึ่งอย่าง จะเลือกสูญเสียอะไร ซึ่งดวงตาอาจไม่ใช่คำตอบแรก ๆ เพราะยังคงเห็นบทบาทความสำคัญของดวงตากันอยู่ Photo by Alexander Andrews on Unsplash ดวงตาเป็นอวัยวะที่ให้ประสาทสัมผัสการมองเห็น ข้อมูลที่ได้รับจากดวงตามีสัดส่วนถึง 80 เปอร์เซ็นต์ของข้อมูลทั้งหมดเลยทีเดียว แต่เพราะเหตุใดเราจึงไม่เคยใส่ใจดวงตา ทั้งที่มันมีความสำคัญกับเราขนาดนี้? หลายคนมักคิดว่า สายตาที่ผิดปกติเป็นเรื่องทั่วไปที่อาจเกิดขึ้นเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ว่าจะสายตาสั้นหรือสายตายาว ก็มักจะถูกมองว่าเป็นสายตาของคนสูงวัย หรือหากตาแห้งก็ใช้น้ำตาเทียม และยังไม่ใส่ใจที่ตรวจต้อหินหรือต้อกระจก ทั้งที่เป็นเรื่อง “ป้องกันได้” แต่กลับไม่ดูแลให้ดวงตาคงสภาพเดิม และเมื่อมันเสื่อมลงก็คิดเสียว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไปแล้วหันไปแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่ว่าจะด้วยแว่นตา คอนแทคเลนส์ หรือผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหา เวลาที่ใครเสียชีวิตลงก็จะมีการปิดตาร่างของผู้เสียชีวิตนั้น ดังนั้นการหลับตาหรือทำให้มองไม่เห็นจึงมีนัยยะหมายถึง “ความตาย” ฉะนั้นหากเรายังมีชีวิตอยู่ ก็ควรจะใช้ชีวิตด้วยการเปิดเปลือกตาและสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน หากเรามีอายุถึงหนึ่งร้อยปีโดยที่มองไม่เห็น สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ถูกไหมครับ หากการมีอายุยืนภายใต้โลกแห่งความมืดจะเป็นเรื่องที่ไร้ความหมาย แม้ว่าร่างกายจะเสื่อมถอย การทำงานของดวงตาก็ยังคงหนักเท่าเดิม เราจึงไม่ควรเพิกเฉยโดยคิดแต่ว่า “แค่หายใจธรรมดาก็รับออกซิเจนมาเลี้ยงดวงตาได้” ซึ่งความเป็นจริงกลไกของร่างกายมนุษย์เป็นอะไรที่ซับซ้อนกว่านั้น หากเป็นไปได้อย่าลืมดูแลดวงตาของคุณให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอนะครับ