ต้องขอรายงานตัวก่อนเลยนะคะ ดิฉันเป็นคุณแม่ลูกสองค่ะ ขอใช้คำแทนตัวลูกคนที่ 2 เป็นคำว่า "น้อง" นะคะ ช่วงเวลานั้นคุณแม่มีความกังวล ความกลัว ความเศร้า ความห่วงลูก ตกอยู่ในพะวงต่างๆ เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อคลอดลูกคนที่ 2 น้องเกิดมาน้ำหนัก 3,090 กรัม ร่างกายแข็งแรงปกติ แต่เหตุเกิดช่วงลูกคนที่ 2 มีอายุครบ 2 เดือน คือน้องจะต้องไปรับวัคซีนตามวันที่คุณหมอนัด ณ โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งค่ะแต่น้องไม่ได้รับวัคซีน เพราะน้องไม่สบายมีเป็นหวัด คุณหมอเลยขอส่งเชื้อเข้าห้องแล็บตรวจ เพราะมีอาการตัวเหลืองและซีด คุณแม่ก็พาน้องกลับมารอผลที่บ้าน ปรากฎว่าทางโรงพยาบาลโทรให้กลับไปรับผลตรวจน้องและให้น้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลในช่วงเย็นของวันนั้น ตกกลางคืนมาระบบการหายใจน้องดูอ่อนลง คุณหมอก็ให้ออกซิเจนช่วย และให้ยาฆ่าเชื้อทางสายน้ำเกลือ คุณก็รักษาตามอาการ จนรุ่งเช้าคุณหมอด้านระบบทางเดินหายใจ และคุณหมอด้านระบบทางเดินอาหารมาตรวจ และก็แจ้งผลประมาณช่วงบ่าย คุณหมอแนะนำให้เราพาน้องไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลรัฐบาลที่มีคุณหมอเด็กและมีเครื่องมือครบ และที่สำคัญมีเลือดช่วยเหลือน้องได้ เพราะตอนนั้นร่างกายน้องซีดมาก และการหายใจอ่อนลงคุณแม่ก็รอคุณพ่อมาเคลียร์ค่าใช้จ่าย และกว่าจะโทรเช็คทางโรงพยาบาลหาเตียงหรือห้องเข้าพักรักษาตัวให้น้องได้ก็เกือบจะ 6 โมงเย็นแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่รถติดมาก เราต้องใช้รถฉุกเฉินของทางโรงพยาบาล ครั้งแรกกับการได้ใช้บริการรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล มันเป็นการนั่งแบบกลับกันกับที่เรานั่งรถรถยนต์ปกติ ตามที่บุรุษพยาบาลแนะนำเพื่อลดอาการเวียนหัว เพราะรถวิ่งเร็วมาก และเปิดสัญญาณขอทางตลอดเส้นทาง บนท้องถนนรถติดมาก คุณแม่ต้องคอยประครองที่ตัวลูก ส่วนบุรุษพยาบาลที่อยู่ในรถต้องประครองเสาน้ำเกลือ ช่วงเวลาที่นั่งรถฉุกเฉิน มองไปที่ลูกที่หายใจอ่อนลงเรื่อยๆ (เขียนไปก็น้ำตาไหลยังจำภาพวันนั้นได้ดี) ตั้งแต่คราวนั้น คุณแม่เข้าใจเลยว่านาทีแห่งความเป็นความตายมันน่ากลัวเพียงใด พนักงานขับรถต้องไปส่งคนป่วยให้ทัน ทุกวันนี้เวลาที่ได้ยินเสียงรถฉุกเฉินขอทาง หากเราอยู่ในรถบนท้องถนนควรหลีกทางให้เลย เพราะนั่นคือนาทีแห่งความเป็นความตายของชีวิตคน เมื่อไปถึงโรงพยาบาลรัฐ เจ้าหน้าที่นางพยาบาลพร้อมคุณหมอก็นำน้องเข้าห้องICU (Intensive Care) คุณหมอแจ้งว่าน้องต้องได้รับเลือดอย่างเร่งด่วน เพราะกราฟร่างกายน้องล้ม อธิบายให้เข้าใจแบบง่ายเลยนะคะ เหมือนลูกโป่งที่เป่าลมไว้แล้วมีรูรั่ว ค่อยๆแฟ่บลง พูดให้เห็นภาพเลย จากน้องมีน้ำ 6 กิโลกรัมกว่า ตอนนั้นน้ำหนักน้องเหลือประมาณ 2 กิโลกรัม ซึ่งซูบลงอย่างรวดเร็วมาก น้ำหนักเหลือน้อยกว่าตอนแรกเกิด ตอนแรกเกิดน้องมีน้ำหนัก 3,090 กรัม ร่างกายสมบูรณ์ปกติวินาทีนั้นมองผ่านกระจก เห็นลูกนอนให้กล่องใสๆมีสายระโยงระยางตามแขน ตามตัว ตามขา แขนและขามีรอยช้ำ เกิดจากรอยเข็มใช้เจาะ ตรงส่วนใบหน้า น้องทำปากจุ๊บๆ คือน้องหิวนม และน้องไม่ได้ดูดนมแม่ 1 วันเต็ม น้องร้องหิวนม คุณหมอใช้จุกนมหลอก โดยใช้แผ่นสก๊อตเทปติดแปะ ตามผิวหน้าน้องผื่นแดงขึ้นเยอะเลย คุณแม่ยังจำฝั่งลึกในใจ มันทรมานมากช่วงเวลานั้น ร้องไห้จนไม่มีน้ำตาให้ร้อง คุณแม่ต้องทำใจให้สบาย พยายามไม่เครียด ดื่มน้ำเปล่า ทานอาหาร เพราะจะได้มีน้ำนมให้น้อง เพราะน้องต้องทานนมแม่ผ่านสายยาง สงสารลูกสุดใจ เด็กเกิดมาอายุ 2 เดือนเอง คงเจ็บมาก ช่วงน้องอยู่ในห้อง ICU ระหว่างนั้นคุณแม่และคุณพ่อก็ทำทุกหนทาง ทำทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นด้านความเชื่อด้านไสยศาสตร์ ทางโลกหรือทางธรรม คุณแม่และคุณพ่อทำหมดค่ะ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เราทำ คือ การทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ที่สุด คุณแม่บริจาคร่างกายให้กับโรงพยาบาล ส่วนคุณพ่อบริจาคดวงตา บริจาคหัวใจ บริจาคร่างกาย และบริจาคเลือดทุก 3 เดือนต่อครั้ง ซึ่งตอนนั้นคุณหมอก็ยังสรุปไม้ได้ว่าที่น้องป่วย น้องเป็นโรคอะไร ติดเชื้ออะไร คุณหมอก็รักษาไปตามอาการที่น้องเป็นอยู่ หลังจากน้องรักษาอยู่ในห้อง ICU (Intensive Care) อยู่ 3 วัน น้องก็ออกมารักษาที่ห้องผู้ป่วยรวม ที่ตึกเด็ก คุณแม่นอนเฝ้าดูอาการน้อง พร้อมทั้งจดบันทึกข้อมูลอย่างละเอียด ถ้าเราให้ข้อมูลที่ชัดเจนของน้อง ก็จะช่วยคุณหมอได้ดีทีเดียวค่ะ น้องรักษาตัวต่ออยู่ 7 วัน ในระหว่างที่อยู่เฝ้าลูกน้อยที่นอนรักษาตัว ก็มีอีกเหตุการณ์อีกจุดหนึ่งค่ะ คือ น้องต้องได้รับการตรวจร่างกาย คือเข้าอุโมงค์ตรวจร่างกาย ที่สำคัญคุณแม่ต้องเข้าไปในห้องนั้นกับลูกเพียง 2 คน เพราะครั้งแรกที่ผู้ป่วยอายุน้อยที่สุด เจ้าหน้าที่และคุณหมอจะรออยู่นอกห้อง มองผ่านกระจก คุณแม่ต้องนั่งอยู่หัวอุโมงค์ โอ้!! ในใจก็นึกกลัว กลัวว่าลูกเราจะเป็นอะไรมากไปกว่านี้ไหม ทั้งตื่นเต้น มันคือครั้งแรกของชีวิตของคุณแม่เลย (น้องเข้าอุโมงค์ 2 ครั้ง) คุณหมอสรุปว่า : น้องป่วยจากการติดเชื้อระหว่างไวรัส 2 ตัว คือ พารโวไวรัส B19(Parvovirus B19) และ พารโวไวรัส B12 (Parvovirus B12) ซึ่งน้องเป็นรายแรกของเด็กช่วงอายุน้อยที่สุดค่ะ เพราะปกติจะเกิดขึ้นกับเด็กวัยที่ไปโรงเรียนแล้วค่ะ คุณหมอจึงขออนุญาตคุณแม่และคุณพ่อ ขอให้น้องเป็น case study research (กรณีศึกษาวิจัยของอาจารย์และนักศึกษาแพทย์) คุณแม่กับคุณพ่ออนุญาต และภูมิใจที่การที่น้องไม่สบายครั้งนี้ มีประโยชน์ในทางการแพทย์ของประเทศไทยเรา ในพัฒนายิ่งขึ้น และระหว่างที่น้องกลับมาพักรักษาตัวอยู่บ้าน คุณแม่ต้องคอยจดบันทึกและโทรติดต่อแจ้งอาการของน้องให้กับคุณหมอทุกวัน บ้างก็ส่งรูปน้องให้คุณหมอที่รักษาน้อง ระยะเวลาที่น้องเป็น case study research (กรณีศึกษาวิจัยของอาจารย์และนักศึกษาแพทย์) จนน้องอายุได้ 9 เดือน สิ่งนั้น คือ ความภาคภูมิใจของครอบครัวเราอย่างมาก และเป็นความโชคดีของน้อง ที่ได้เจอได้รับการรักษากับคุณหมอที่เก่งมาก ทำให้เรารับรู้ได้ว่าประเทศไทยเรา มีบุคลากรทางการแพทย์ที่เก่งอยู่ในบ้านเมืองเรา ตอนนี้น้องสุขภาพแข็งแรง มีพัฒนาการเจริญเติบร่างกายปกติ และน้องก็ได้รับวัคซีนครบตามวัยแล้วนะคะที่นำเรื่องราวจากเหตุการณ์ การป่วยของลูกน้อยในครั้งนี้มาเขียน เพื่ออยากเป็นส่วนหนึ่ง เป็นสื่อให้ทุกคนมีกำลังใจต่อสู้กับสิ่งที่เจอให้ผ่านไปได้นะคะ และอยากเชิญชวนในทุกคนร่วมทำบุญ ด้วยการบริจาคเลือด บริจาคร่างกาย บริจาคอวัยวะ เพราะนอกจากอุปกรณ์ในการรักษาแล้ว สื่อที่ใช้ในการศึกษาวิจัยและเรียนรู้ของนักศึกษาแพทย์ยังขาดแคลนอยู่มาก ขอเป็นส่วนหนึ่งและเป็นกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์ทุกท่านนะคะบทความโดย : Mother's Beginningภาพประกอบภาพปก ภาพถ่ายโดย Tatiana Syrikova จาก Pexelsภาพที่ 1 ภาพถ่ายโดย Büşranur Aydın จาก Pexelsภาพที่ 2 ภาพถ่ายโดย Pavel Danilyuk จาก Pexelsภาพที่ 3 ภาพถ่ายโดย Anna Shvets จาก Pexelsภาพที่ 4 ภาพถ่ายโดย Karolina Grabowska จาก Pexelsภาพที่ 5 ภาพถ่ายโดย Karolina Grabowska จาก Pexelsภาพที่ 6 ภาพถ่ายโดย MART PRODUCTION จาก Pexelsข้อมูลทางการแพทย์ สภากาชาดไทย โรงพยาบาลภูมิพลฯ โรงพยาบาลจุฬาฯ ความรู้เกี่ยวกับไวรัสพาร์โวไวรัสB19 และไวรัสพาร์โวไวรัสB12 เปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !