มีเพื่อนมาเล่าแกมปรึกษาว่า มีนัดขึ้นศาลเรื่องถูกฟ้องหนี้บัตรเครดิตที่บ้านต่างจังหวัด จริง ๆ ที่ทำงานก็ให้ลางานไปทำธุระได้ แต่มีเงื่อนไขว่า กลับมาแล้วต้องหยุดงาน 14 วัน เพื่อกักตัว เพราะตอนนี้เชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังระบาดอย่างหนัก ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาหลายอย่างมาก จะทำยังไงดี? เรากับเพื่อนจึงช่วยกันหาคำตอบ เพราะเพื่อนไม่อยากผิดนัดศาล จะเข้าข่าย “หนีศาล” เอาได้ อีกอย่างที่อยากไปขึ้นศาล เพราะอยากให้ศาลเมตตาเรื่องดอกเบี้ยบ้าง ดังนั้นเพื่อไม่ให้ความรู้ตรงนี้ผ่านเลยไป เราจึงขอนำมาเขียนเป็นบทความสั้น ๆ เพื่อให้เพื่อน ๆ ได้ทราบไปพร้อม ๆ กัน เครดิตภาพ : Free-Photos มอบอำนาจให้ผู้อื่นไปศาลแทนได้ : ก่อนอื่นเราต้องรู้ก่อนว่า การถูกฟ้อง หมายศาลจะส่งไปที่ภูมิลำเนาเดิม ดังนั้นจึงเป็นเหตุให้(อาจ)ต้องเดินทางกันบ้าง แต่ไม่ต้องห่วง เพราะเราสามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นไปศาลแทนเราได้ การมอบอำนาจส่วนนี้ ผู้ที่ไปแทนเราก็เสมือนเป็นตัวเราเช่นกัน ดังนั้นปรึกษาครอบครัวได้เลย ว่าจะให้ใครไปแทน จากนั้นไปแล้วต้องทำอะไรบ้าง?... อ่านต่อไป เครดิตภาพ : leokiru ไกล่เกลี่ยกับทนายโจทก์ : ก่อนจะขึ้นศาล เราจะพบกับทนายโจทก์ก่อน ซึ่งเสมือนเป็นตัวแทนเจ้าหนี้ ที่มาคุยไกล่เกลี่ยยอดหนี้บัตรกับเรา มีทางเลือก 2 ทาง คือ 1. ทำสัญญายอม ส่วนนี้เราจะคุ้นหูกับคำว่าไกล่เกลี่ย ประนีประนอมยอมความ เช่น เจ้าหนี้เสนอให้จ่ายชำระเป็นรายงวด งวดละกี่บาท ในระยะเวลากี่ปี และจะคิดดอกเบี้ยกันในจำนวนเท่าไร เป็นต้น ซึ่งตัวเลขที่เจ้าหนี้เคาะมานี้ จะมียอดเท่ากันกับในหมายศาล (ส่วนใหญ่จะไม่ลด) หากเรายอมตามนี้ ศาลก็จะพิพากษาไปตามที่เรายอมนั่นเลย พูดง่าย ๆ คือ ศาลจะไม่พิจารณาลดดอกเบี้ยใด ๆ ให้อีกแล้ว ดังนั้น เราควรให้ผู้ที่รับมอบอำนาจ โทรคุยกับเราก่อน เพราะช่วงนี้ยังไม่ได้ขึ้นศาล เราสามารถตัดสินใจหรือคุยกับทนายโจทก์ได้ แต่หากตกลงให้เซ็นสัญญายอมแล้ว ก็เท่ากับต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้น ๆ ด้วย เพราะในสัญญานี้มีลายเซ็นของผู้พิพากษา หากผิดนัดเพียงแค่ 1 งวด เจ้าหนี้มีสิทธิยื่นเรื่องบังคับคดีเราได้ทันที ... ดังนั้นต้องคิดให้ดี ๆ ก่อนเซ็นยอม ... 2. ไม่ทำสัญญายอม หากเงื่อนไขที่ทนายโจทก์ให้มา ไม่มีความปราณีต่อเรา (ลูกหนี้) เราก็ไม่ต้องเซ็นยอมใด ๆ ทั้งสิ้น ปล่อยให้ศาลตัดสินต่อไปดีกว่า แต่ช่วงเวลานี้เราก็ยังสามารถขอส่วนลดได้อยู่ และต้องมั่นใจว่า เอ่ยปากขอไปแล้ว จะสามารถชำระได้ตามนั้นจริง ๆ เช่น ขอส่วนลด 60% ชำระ 3 งวด ปิดจบได้เลย ทางทนายโจทก์อาจนำเรื่องไปแจ้งต่อเจ้าหนี้ได้ ซึ่งทำผ่านผู้รับมอบอำนาจได้เช่นกัน เครดิตภาพ : Monam ไปฟังคำตัดสินของศาล : ให้ผู้รับมอบอำนาจ นำคำให้การไปยื่นต่อศาล ซึ่งเรา(ลูกหนี้) ได้เขียนไว้ทั้งหมดแล้ว ว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยผิดกฎหมายหรือไม่อย่างไร เข้าข่ายฉ้อฉล โกง เอาเปรียบ หรือแม้แต่ในเรื่องของการขาดอายุความ เป็นต้น จะไปสู้คดีแบบปากเปล่าไม่ได้ เพราะศาลจะไม่ถือว่าเป็นคำให้การ และเราไม่ต้องการสู้คดี จะทำให้เสียเปรียบเหมือนเดิม ดังนั้นหากต้องการให้ศาลเมตตา ก็ต้องเขียนคำให้การให้เรียบร้อยด้วย เครดิตภาพ : espartgraphic ข้อควรระวัง : หากเราโทรไปหาเจ้าหนี้ผู้ฟ้อง อาจะได้รับคำตอบว่า “ไม่ต้องไปศาลก็ได้” ซึ่งศาลจะไม่รับรู้ในส่วนนี้ และเราจะเข้าข่าย “หนีศาล” ทันที ทนายโจทก์จะแจ้งต่อศาล ให้พิจารณาคดีลับหลังไปเลย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปก็คือ ประมาณ 1 เดือนหลักจากศาลตัดสินแล้ว ให้ไปขอคัดคำพิพากษา ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายหลักร้อยต้น ๆ จากนั้นนับไป 15 วัน ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษา 100% ในช่วง 15 วันนี้ สามารถติดต่อไปที่เจ้าหนี้เพื่อขอส่วนลดได้ แต่เจ้าหนี้จะลดให้หรือไม่ก็อีกเรื่องหนึ่ง ย้ำว่า!! การขอส่วนลดหนี้ จะต้องมีเงินไปจ่ายเค้าจริง ๆ ด้วย ไม่งั้นก็ต้องชำระหนี้ไปตามที่ศาลสั่ง สุดท้าย หากทำตามคำสั่งศาลไม่ได้ เจ้าหนี้ก็จะทำเรื่องอายัดเงินเดือน หรือยึดทรัพย์ต่อไป เครดิตภาพ : Activedia หลาย ๆ คนอาจบอกว่าไม่ต้องไปศาลก็ได้ ถ้าไม่มีเงินจ่าย!! ซึ่งก็ถูกต้อง ถ้าเรารู้กระบวนการทั้งหมดอยู่แล้ว แต่เชื่อว่าหลายคนไม่รู้กระบวนการหลังจาก “หนีศาล” จนกระทั่งมีเอกสารยึดทรัพย์มา ลองคิดดูว่า หากเราไม่ได้วางแผนเรื่องทรัพย์สินเอาไว้ ก็คงจะต้องถูกยึดไปตามระเบียบแน่นอน ดังนั้น ไม่ว่าติดปัญหา เชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ ติดเงื่อนไขอื่น ๆ ที่ไปศาลไม่ได้ ก็มีทางออกให้ตามที่บอกไปข้างต้นแล้ว ... ส่วนเพื่อนเรา เลือกจัดการมอบอำนาจให้คนในครอบครัวไปแทน เพื่อให้ศาลพิจารณาตัดสิน และพอมีเงินก้อนในมือบ้าง จากนี้ก็ต้องไปลุ้นเรื่องการขอลดยอดหนี้กันอีกที เครดิตภาพปก : QuinceCreative