“เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เราเลือกหนังสือเล่มนี้มาเพราะหวังที่จะถ่ายทอดมุมมองที่เราได้ตกตะกอนจากการอ่านหนังสือเล่มนี้ให้กับรุ่นน้อง เพื่อนๆ และพี่ๆ ที่จะมีโอกาสผ่านมาเห็นบทความนี้ เพราะว่าเราทุกคนกำลังอยู่ในช่วงอายุพอๆกัน ช่วงอายุที่สังคมบอกกับเราว่าเรายังเป็น “วัยรุ่น” อยู่ “ทรมานใจ ว่างเปล่า หวั่นไหว เปลี่ยวเหงา โดดเดี่ยว เพราะเป็นเพียงวัยรุ่นคนหนึ่ง” ทุกคนรู้สึก “หวั่นไหว” กับชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้รึเปล่า รู้สึก “เปลี่ยวเหงา” เมื่อเปลี่ยนผ่านจากมัธยมมาสู่สังคมมหาวิทยาลัยกันบ้างไหม ระหว่างทางที่บากบั่นตั้งใจเรียนในมหาวิทยาลัยมีช่วงไหนไหมที่รู้สึกว่า “โดดเดี่ยว” เหลือเกิน ความรู้สึกเหล่านี้เกิดขึ้นได้เป็นปกติกับชีวิตของนิสิตที่อยู่ในช่วงวัยรุ่น เราเองก็เคยผ่านจุดเหล่านี้มา บางทีก็ยังวนกลับไปรู้สึกแบบเดิมกับในหนังสือซ้ำๆ แต่ก็ค้นพบว่าหลักที่เราได้มาจากการอ่านยังคงช่วยให้เราผ่านพ้นและรู้ทันความคิดของตัวเองเสมอ เพราะมีประโยชน์มาก เราเลยอยากจะนำมาบอกต่อให้กับทุกๆคนได้ลองนำไปปรับใช้ ตอนนี้พวกเราทุกคนในรั้วมหาวิทยาลัยคงมีอายุอยู่ที่ราวๆ 18-24 ปี ซึ่งเมื่อเทียบจากนาฬิกาชีวิต ( 1 ปีมีค่าเท่ากับ 18 นาที ) จะพบว่าเรายังอยู่ในช่วงเวลา ตีห้ายี่สิบสองนาทีถึงประมาณเจ็ดโมงสิบสองนาที เท่านั้นเอง เป็นช่วงเวลายามเช้าที่คนส่วนใหญ่ถ้าเข้างานสายหน่อยก็ยังนอนหลับปุ๋ย แต่คนที่เริ่มทำงานแล้วก็คงกำลังเดินทางอยู่บนรถโดยสารสาธารณะ ในช่วงที่ชีวิตยังอยู่ในเวลาเช้า เหลือเวลาอีกมากกว่าจะหมดวัน จึงไม่ควรให้คำว่า “สายเกินไปที่จะลงมือทำอะไร” มาฉุดรั้งการใช้ชีวิตวัยรุ่นของเรา วัยรุ่นควรเป็นช่วงเวลาที่เราเริ่มเข้าใจอย่างแท้จริงว่า “เรามีชีวิตอยู่เพื่ออนาคต ความฝัน และความปรารถนา” อาจจะฟังดูเข้าใจยากแต่ความหมายของมันคือให้เราเลือกเส้นทางของชีวิตที่ทำให้เราบรรลุเป้าหมายของชีวิตในบั้นปลายของเส้นทางชีวิต พอกำหนดเป้าหมายได้แล้ว ก็อย่ารีบเร่งว่าตัวเองจะต้องประสบความสำเร็จก่อนหรือเท่าๆกับคนอื่น ดอกไม้ยังมีช่วงเวลาผลิบานที่ต่างกัน เราเลยควรเข้าใจว่าชีวิตเราไม่จำเป็นต้องประสบความสำเร็จในช่วงเวลาเดียวกับคนอื่น และการที่เราช้า ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ ระหว่างที่รอเรายังสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปก่อนได้ หากต้องเจอกับความผิดพลาด เปิดใจที่จะเรียนรู้และปรับปรุงตัวเอง พยายามยืดหยุ่นกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และคอยถามตัวเองว่าเราต้องการอะไร เรากำลังทำอะไรอยู่ ให้มองหาสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่า “สนุกกับมัน” เพราะยิ่งหาเจอไว เรายิ่งเข้าใจความต้องการของตัวเอง พอเข้าใจแล้ว เราอยากแนะนำให้ใช้ สมการของความสำเร็จ: เป้าหมาย + วิธีการที่ถูกต้อง + การลงมือปฏิบัติ = ความสำเร็จ เป้าหมาย เป็นแหล่งยึดของชีวิตที่คนที่ประสบความสำเร็จส่วนมากจะมีกัน เป้าหมายจะช่วยให้เราตั้งกฎให้กับการกระทำและเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจของชีวิตในเรื่องต่างๆ เป้าหมายควรจะต้องยิ่งใหญ่ ยิ่งใหญ่แบบที่ทำให้เรากล้าก้าวผ่านอุปสรรคต่างๆ และเป็นสิ่งที่ทำให้เราสนุกกับมันและอยู่กับมันได้โดยไม่ทำให้เรารู้สึกเบื่อ ก็คือเป้าหมายนั้นควรบอกได้ว่าคุณค่าของชีวิตเราคืออะไร เรามีชีวิตอยู่เพื่อเป้าหมายนี้ใช่ไหม แม้ว่าจะบอกให้มีเป้าหมาย แต่ให้ใช้เป้าหมายเป็นแรงผลักดัน อย่าใช้เป้าหมายมาเป็นสิ่งที่ทำให้เรายึดติดกับมันจนเสียแนวทาง การจะไปถึงเป้าหมายมีหลายเส้นทาง ถ้าการเดินไปในเส้นทางหนึ่งทำให้เราผิดหวัง ทบทวนกับตัวเองแล้วเรียนรู้จากความผิดพลาด เลือกมองเส้นทางใหม่ ตัดใจให้เป็นเพราะการดันทุรังจะไปในเส้นทางเดิมอาจจะทำให้เราเสียเวลา ร้ายแรงที่สุดอาจจะทำให้เราพลาดความฝันไปเลย วิธีการที่ถูกต้อง เทียบกับการตัดต้นไม้ ถ้าเราเลื่อยต้นไม้ทั้งที่ใบเลื่อยมันทื่อและบิ่น ต่อให้ใช้เวลาและทุ่มเทแรงให้กับการเลื่อยต้นไม้มากขนาดไหน มันก็ไม่สำเร็จ เทียบย้อนกลับมาในเรื่องของการจะไปสู่ความสำเร็จบ้าง วิธีการที่ถูกต้องอาจจะเป็นในเรื่องของการพัฒนาทักษะให้เตรียมพร้อมในการเดินตามเส้นทางไปสู่สิ่งที่ฝัน สิ่งที่หนังสือแนะนำก็คือ คุยกับอาจารย์ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและอาจารย์ประจำแต่ละวิชาเรียน เพราะสิ่งที่เราจะได้รับคือประสบการณ์จากผู้ประสบโดยตรง ที่จะได้อะไรมากกว่าการคุยกับรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มากกว่าเราเพียงไม่กี่ปี อีกแหล่งที่น่าสนใจคือหนังสือพิมพ์ ตอนนี้เราสามารถหาอ่านหนังสือพิมพ์กันทางออนไลน์ได้แล้ว ข้อดีของการอ่านหนังสือพิมพ์คือเราจะเลือกเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางในการเลือกรับสาร หมายความว่าปกติแล้วเราคิดว่าเราอยากรู้อะไรเราก็แค่เสิร์ชออนไลน์ แต่การทำแบบนั้นจะทำให้เราพลาดข่าวสารที่จำเป็นและมีประโยชน์กับชีวิต ซึ่งทั้งหมดนั้นมีอยู่ในหนังสือพิมพ์ สิ่งที่ควรเรียนรู้ต่อมาคือ ทักษะต่างๆนอกห้องเรียน ทักษะการเข้าสังคม ทักษะการลงมือทำงานจริง รวมไปถึงการจัดการกับอารมณ์ ความคาดหวังจากรอบข้างและความเข้าใจในตัวเอง สิ่งเหล่านี้สำคัญเพราะหลังจากที่เราก้าวออกจากมหาวิทยาลัยไป ใบปริญญาอย่างเดียวไม่สามารถช่วยให้เราทำงานได้ราบรื่นในชีวิตจริง การลงมือปฏิบัติ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ แม้จะมีความฝัน แม้จะรู้หลักการและวิธีต่างๆมากมาย หากไม่เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่าง เราก็เหมือนกำลังย่ำอยู่กับที่ อย่าเสียเวลาไปกับการวางแผนจนเกินพอดี เราทุกคนมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน วันนี้คือจุดเชื่อมของอดีต ปัจจุบันและอนาคต อนาคตของวันพรุ่งนี้ขึ้นอยู่กับการกระทำภายใน 24 ชั่วโมงของเราวันนี้ ดังนั้นจากคำที่คนนิยมใช้กันบ่อยๆอย่าง Carpe Diem หรือ Seize the Day ใช้กับบริบทนี้ได้ดีคือใช้วันนี้ให้คุ้ม คุ้มจนเราจะไม่มีวันกลับมาเสียใจกับวันนี้ พอตั้งใจแล้วว่าจะใช้ 1 วันให้คุ้ม หนังสือก็แนะนำหลักการปฏิบัติเพิ่มเติมในเรื่องของการใช้เวลาคือ สำหรับการจะบรรลุเป้าหมายเล็กๆ อาจจะใช้หลัก หนึ่งต่อหนึ่ง คือให้เวลากับกิจกรรมนั้นเป็นเวลา 1 ชั่วโมง ตลอดระยะเวลา 1 ปี หรือถ้าไม่ได้จะเริ่มจากเป้าหมายแบบนี้ก็อาจจะใช้เวลาให้คุ้มอย่างเช่น บริหารจัดการ “เศษเวลา” โดยใช้ช่วงเวลาของการรอรถโดยสาร หรือรอเริ่มเรียนไปกับการจัดการธุระเล็กๆ ที่น่าจะเสร็จในระยะเวลาสั้นๆได้ นอกจากสมการของความสำเร็จแล้ว หนังสือก็ยังแนะนำถึงเรื่องของชีวิตส่วนตัวที่วัยรุ่นเกือบทุกคนจะต้องพบเจอคือเรื่องของ ความรัก โดยบอกว่าความรักเป็นแหล่งประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่มากๆที่วัยรุ่นควรได้เรียนรู้ หากมีโอกาสได้รัก จงรัก ถ้ารักแล้วควรรักให้ได้ทั้งสองเงื่อนไขคือ “รักให้เหมือนไม่มีวันพรุ่งนี้” คือรักโดยรับตัวตนของอีกคนได้ รักแบบทุ่มเทความรู้สึกจริงๆ แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้อง “รักโดยไม่สูญเสียความเป็นตัวตน” คือไม่พยายามมากเกินไปที่จะรักษาความสัมพันธ์ไว้ เพราะถ้าทำแบบนั้นเราอาจจะต้องแลกมาด้วยความฝัน ความเป็นตัวเอง และเราอาจจะเสียเวลาในการที่จะนำไปพัฒนาตัวเอง ซึ่งพอมีความรัก ก็ย่อมมี จุดจบ ในความสัมพันธ์ หากมีการเลิกรา ไม่ว่าเหตุผลที่แท้จริงจะเป็นยังไง สิ่งที่เป็นความจริงคือเราอาจจะ “มีบางสิ่งไม่เพียงพอ” ซึ่งแม้เราจะพยายามเท่าไหร่ก็ไม่สามารถเติมเต็มหรือมอบสิ่งที่คนคนนั้นมองว่าไม่เพียงพอได้ เราเลยควรตัดใจและให้โอกาสตัวเอง เพราะคำว่าไม่พอของหนึ่งคน อาจจะมากเกินพอสำหรับบางคน จงรู้ว่าความสัมพันธ์ไหนกันแน่ที่ดีกับชีวิตของเรา แม้หนังสือจะให้ถ่ายทอดมุมมองและให้คำแนะนำกับเรามากเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองว่าจะสามารถนำไปปรับใช้กับตัวเองได้มากแค่ไหน มาถึงตรงนี้เราเชื่อว่าทุกคนที่อ่านตามคงเข้าใจความหมายของคำว่า “เพราะเป็นวัยรุ่นจึงเจ็บปวด” เราอยากบอกว่าเราทุกคนล้วนผ่านความเจ็บปวด ความทุกข์ ความสับสน ยิ่งชีวิตในมหาวิทยาลัยเป็นวัยที่ใกล้จะเข้าสู่โลกแห่งความเป็นจริงของชีวิต เราก็ยิ่งบีบให้ตัวเองหาทางออก ถ้าใครก็ตามรู้สึกไม่มีกำลังใจจะก้าวไปข้างหน้า ให้ลองหาแบบอย่างจากคนที่ประสบความสำเร็จแล้วเริ่มกระตุ้นให้ตัวเองสร้างไฟแห่งความทะเยอทะยาน กลับกันถ้าใครกำลังรู้สึกทุกข์หรือลำบาก มีประโยคนึงที่เราชอบมากคือ “ถ้าชีวิตประจำวันของคุณในวันนี้ลำบากจนอยากตาย อาจมีใครหลายคนปรารถนาอยากเป็นคุณแม้เพียงวันเดียวในชีวิตของเขา” เพราะฉะนั้นเราอยากให้ทุกคนขอบคุณในสิ่งที่เรามีแล้วพยายามก้าวต่อไปข้างหน้า แม้ในวันที่เรากำลังสับสนเราขอทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้ “If you don’t know where you are going, just go.”*ภาพทั้งหมดถูกถ่ายโดยนักเขียน