สวัสดีค่ะ เราชื่อ "บุ๋มบิ๋ม" สำหรับบทความนี้มาในหัวข้อ "บิทคอยน์ คืออะไร เหมือนหรือต่าง กับ สกุลเงินบาท อย่างไร ?" เป็นบทความแรกที่บุ๋ม อยากจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องสกุลเงินดิจิตอล "Cryptocurrency" นั้นก็คือ บิทคอยน์ "Bitcoin" ว่า เหมือน หรือ แตกต่างกันอย่างไร กับ สกุลเงินไทยบาทที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ให้เพื่อน ๆ ที่ยังเข้าไม่ถึงความรู้หรือความเข้าใจในสกุลเงินนี้ หรือ อาจพอได้ยินมาบ้าง แต่ก็ยัง "งง ๆ" อยู่ดี เอาล่ะ มาเริ่มกันเลย! ต้องเกริ่นก่อนว่า บิทคอยน์ "Bitcoin" หรือ เรียกกันในนามว่า สกุลเงินดิจิตอล คือ สกุลเงินที่มีมูลค่า ที่ถูกเข้ารหัสด้วย sha-256 ที่ยากจะ Hack ได้ ผ่านคอมพิวเตอร์ของนักขุดเหรียญหลายรายบนโลกนี้ที่เปิดเครื่องขุดอยู่ โดยจะคอยยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ ของผู้ใช้ หากถาม "บุ๋ม" ว่านักขุดจะได้อะไร ? ก็จะได้ผลตอบแทนจากการขุดไงละ โดยสิ่งที่เราชอบพูดกันติดปากว่า "ขุด Bitcoin แล้วได้เงิน" หากพูดถึงหลักการแล้ว นักขุดจะต้องเข้าไป แข่งขันกันเพื่อยืนยันการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งการยืนยันนั้นแหละก็คือการขุด แล้วส่งต่อ ในการยืนยันถัดไป ใครขุดได้ ก็จะได้ค่าตอบแทนบางส่วนจากค่าธรรมเนียมธุรกรรมนั้น เป็นสกุลเงินดิจิตอลนั้นเอง (สามารถดูรูปประกอบการทำงาน ของธุรกรรมได้จากรูปด้านล่าง) โดยสกุลเงินดิจิตอลนั้น ไม่สามารถจับต้องได้ ที่ทำงานอยู่บนเครือข่ายออนไลน์ที่เรียกว่า "Blockchain" โดยผู้คิดค้นสกุลเงินนี้ ได้ให้นามแฝงว่า ซาโตชิ นากาโมโตะ "satoshi nakamoto" เริ่มใช้งานสกุลเงินนี้ใน ค.ศ. "2009" โดยจัดเป็นสกุลเงินดิจิตอล ที่เรียกกันในนามว่า "Cryptocurrency" โดยในข้อมูลส่วนข้างต้นที่กล่าวมานี้ "บุ๋ม" เขียนสรุปให้เข้าใจง่าย ๆ แบบโดยรวม ว่ามันคืออะไรและมีการทำงานอย่างไร ซึ่งจะมีข้อมูลเชิงลึกกว่านี้หากใครอ่านแล้วไม่เข้าใจส่วนไหนก็สามารถไปหากันต่อได้นะ หลักการทำงานธุรกรรมของ BITCOIN โดยการทำงานของมันจะอยู่ในรูปแบบ (Peer-to-Peer) ก็คือ ทั้งผู้รับและผู้จ่าย สามารถทำธุรกรรมโดยไม่ผ่านตัวกลางอย่างธนาคาร ซึ่งโดยปกติแล้ว หากบุคคลทั่วไปใช้เงินไทยบาทธรรมดา จะซื้อของ หรือ โอนเงิน ต่าง ๆ ก็จะต้องมีศูนย์กลาง ที่คอยรับรู้ถึงการทำธุรกรรมของเรา โดยมีธนาคารเป็นศูนย์กลางในการทำธุรกรรมแต่ละครั้ง แต่ Bitcoin จะทำงานในแบบ (Peer-to-Peer) ซึ่งจะไม่มีบุคคลใด บุคคลหนึ่ง หรือหน่วยงาน สถาบัน ต่าง ๆ คอยควบคุมบ่นมาตั้งนาน! แล้วสรุป Bitcoin กับเงินบาท มันต่างกันอย่างไรกันแน่ ? ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจความเป็นมาของ ทั้ง 2 สกุุลเงินนี้ก่อน ว่ามีความเป็นมาอย่างไร จุดประสงค์ของการกำเนิดสกุลเงิน ทั้ง 2 สกุลเงินนี้เพื่ออะไร "สกุลเงินไทยบาท" ที่เรารู้จักกันดี ล้วนเป็นเงินที่ ธนาคารนั้นผลิตขึ้นมาเพื่อให้มนุษย์ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ โดยในอดีตนั้น การที่จะซื้อสินค้า หรือ ใช้จ่ายได้ ก็ต้องมีสิ่งของที่มีมูลค่า หรือ มีความน่าเชื่อถือมากที่สุดของยุคนั้น ๆ อาทิเช่น "เบี้ยหอย , แร่ , ทองคำ" นั้นเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป การใช้จ่ายแลกเปลี่ยน เริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงจาก เบี้ยหอย , แร่ , ทองคำ มาเป็นชื่อที่เรียกว่า "เงิน" ไม่ว่าจะเป็นธนบัตร หรือ เหรียญบาทไทย ที่ทำจากเงิน โดยที่มนุษย์พยายามทำให้สิ่งที่เรียกว่าเงินนั้นมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นเลื่อย ๆ และที่สำคัญ ยากที่จะปลอมแปลงได้ เพื่อให้ทันยุคสมัยนั้น ๆ ตามนโยบายการแก้ไขเศรษฐกิจ ซึ่งอยู่มาวันหนึ่ง การใช้จ่ายเงิน ก็เริ่มมีปัญหาเกิดขึ้น นั้นก็คือ "ภาวะเงินเฟ้อ" ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้มีบุคคล "ลึกลับ" เขียน "whitepaper" ขึ้นมา โดยกล่าวไว้ในทำนองว่า "ฉันได้สร้างสกุลเงินชนิดหนึ่งขึ้นมา นั้นคือ "บิทคอยน์" ที่ทำงานอยู่บนสิ่งที่มีความปลอดภัยสูงนั้นก็คือ "Blockchain" และมันจะมาเปลี่ยนแปลงโลกทางด้านการเงินอย่างที่ไม่คาดคิด" โดยที่มีจำนวณที่จำกัดที่ไม่สามารถผลิตเพิ่มได้ ซึ่ง Max สูงสุดของมันอยู่ที่ 21 ล้าน Bitcoin และสามารถใช้ได้ทั่วโลกอีกด้วยนะ ซึ่งผู้ที่ถือเหรียญที่เรียกว่า BITCOIN นั้นจะเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ควบคุมมันได้ อย่างธนาคาร ดังนั้นการโกงกันหรือการทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจะเป็นไปได้ยากมาก ๆ และตั้งแต่กำเนิดสกุลเงิน Bitcoin มา ก็ไม่มีเหตุขัดข้องของทางธุรกรรมใด ๆ เลย ก็เพราะ เทคโนโลยี "บล็อกเชน" นั้นเอง โดยที่ Bitcoin ทำงานบนพื้นฐานสิ่งนี้มาโดยตลอด ซึ่งมีความปลอดภัยสูง และยากมากที่จะ Hack หรือเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่ขับเคลื่อนธุรกรรมต่าง ๆ บน "บล็อกเชน" หากจะ Hack จริง ๆ ก็ต้อง Hack ธุรกรรมทั้งหมดที่มีอยู่ให้ได้ แบบพร้อม ๆ กัน แล้วเพื่อน ๆ คิดว่ามันจะมี Quantum computer ที่สามารถ Hack มันได้ไหม เอาเป็นว่า 1 ธุรกรรมยังใช้เวลาในการถอด เป็น "หน่วยปี" เลย แล้วเพื่อน ๆ คิดว่ามันจะมีกี่ธุรกรรมบน "บล็อกเชน" ล่ะ โดยบุคคลที่เป็นผู้คิดค้นสกุลเงินนี้ได้ให้นามที่ "บุ๋ม" ได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้แล้ว คือ ซาโตชิ นากาโมโตะ "satoshi nakamoto" และในที่สุด เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2010 ภายใต้ชื่อ ACC Laszlo ซึ่งเป็นโปรแกรมเมอร์ได้โพสต์บน Bitcoin Forum ว่าเขาต้องการซื้อพิซซ่าด้วยจำนวณ 10,000 Bitcoins (ซึ่งมีมูลค่า $40 ในเวลานั้น) เพื่อซื้อพิซซ่าของ Papa John ขนาดใหญ่สองถาด โดยที่ปัจจุบัน 14 ตุลาคม 2020 ที่บุ๋มกำลังเขียนบทความนี้แชร์ให้เพื่อน ๆ อ่านกัน มันมีมูลค่าถึง 3,558,186,390.00 บาทแล้ว "โอ้โห" แสดงว่า พิซซ่า 2 ถาดนั้นคงจะแพงน่าดูในวันนี้ เพื่อน ๆ ว่าไหม "สรุปจากจากข้างต้นที่กล่าวมาได้ดังนี้"1. ผู้ควบคุมหรือศูนย์กลาง"เงินไทยบาท" จะมีธนาคารเป็นผู้ควบคุม ซึ่งเป็นศูนย์กลางในการใช้เงิน และให้เหตุผลว่ามันสามารถใช้ได้จริง แต่!"บิทคอยน์" ไม่มีใครเป็นศูนย์กลางผู้ควบคุม ทุกคนเป็นนายของมัน เป็นเจ้าของ ของมัน2. การผลิต"เงินไทยบาท" จะสามารถผลิตได้อย่างอิสระไม่จำกัด ตาม "นโยบายธนาคารกลาง"แต่!"บิทคอยน์" จะต้องใช้พลังงานคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อที่จะแก้สมาการทางคณิตศาสตร์ของ blockchain เพื่อให้ได้มาซึ่ง ค่าตอบแทนเป็นสกุลเงิน cryptocurrency อย่าง Bitcoin3. จำนวณ"เงินไทยบาท" อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ว่า เงินไทยบาทสามารถผลิตได้ขึ้นเรื่อย ๆ ตามความต้องการ ซึ่งอาจก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อได้ โดยจะทำให้มีมูลค่าน้อยลงไปในที่สุดแต่!"บิทคอยน์" ก็อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้เช่นกันว่า มีอยู่อย่างจำกัด ที่ 21 ล้าน BTC ซึ่งเมื่อยิ่งมีน้อยลง ก็ จะทำให้มีการขุดที่ยากลำบากขึ้น เสมือนกับ ทองคำ ที่น้อยคนจะหามันเจอง่ายๆ ฉนัน "Bitcoin" จะต่างกับเงินบาทตรงที่ มันจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลา ตาม Demand ของตัวมันเอง แต่มันจะไม่มีมูลค่าเมื่อไม่เกิด Supply ที่ให้ความมั่นใจและเชื่อใจกับสกุลเงินดังกล่าว4. สิทธิความเป็นเจ้าของ"เงินไทยบาท" "บุ๋ม"เชื่อว่าหลาย ๆ คน อาจจะมองว่าเราคือเจ้าของเงิน แต่แท้จริงแล้ว เราอาจไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริง เพราะ จริง ๆ แล้วเงินที่เราคิดว่าเราเป็นเจ้าของนั้นอาจจะถูกอายัดได้โดย "รัฐบาล หรือ ธนาคารกลาง" ที่เป็นคนควบคุมแต่!"บิทคอยน์" ถ้าใครมีมันไว้ในครอบครอง จะถือว่าเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง คนอื่นไม่สามารถเข้ามามีบทบาทหรือ แทรกแซงมันได้ นอกจากตัวของเราเองเท่านั้น5. การตรวจสอบและการโกง"เงินไทยบาท" การที่ผลิตมาเป็นเงิน ที่สามารถจับต้องได้ เช่นเหรียญ หรือ แบงค์ ซึ่งไม่ได้ทำงานอยู่บนออนไลน์ จะทำให้การตรวจสอบย้อนหลัง เพื่อหาที่มาที่ไป เป็นไปได้ยากมาก เพราะ ได้อยู่บนมือคน เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งยังสามารถปลอมแปลงได้ง่ายอีกด้วยตามที่เคยเห็นในข่าวกันมานั้นเอง และเสี่ยงตาการถูกโจมตีจาก Hacker ได้อีกด้วยแต่!"บิทคอยน์" ต้องบอกไว้ตรงนี้เลยว่า เอาจริง ๆ ความปลอดภัยของธนาคารยังสู่ความปลอดภัยของเทคโนโลยีบล๊อกเชนยังไม่ได้ ด้วยความเป็น Decentralized จึงทำให้ยากที่จะแก้ไขธุรกรรมต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้ว นั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ "บุ๋ม" มองว่ามันอาจจะมีความปลอดภัยมากกว่า "ธนาคาร" ด้วยซ้ำ และสามารถตรวจสอบที่มาที่ไปได้ตั้งแต่ต้น ถึง ปัจจุบัน ด้วยระบบการทำงานที่อัศจรรย์ นั้นก็คือ Blockchain decentralized6. การโอนหาระหว่างกัน"เงินไทยบาท" หากพูดถึงการโอนเงินข้ามประเทศ จะโอนทั้งที ก็ต้องไปทำธุรกรรมที่ ธนาคารแถมยังต้องเสียค่าธรรมเนียมตามจำนวนที่จะส่งไปยังปลายทางให้กับธนาคาร '"หลายร้อยบาท" อีกด้วย >500++ บางครั้งอาจถูกธนาคารเรียกค่าธรรมเนีนมถึง 1 หมื่นกันเลยทีเดียว เพราะโอนในจำนวณมาก จึงทำให้ค่าธรรมเนียมสูงตามไปเช่นกันแต่!"บิทคอยน์" สามารถนั่งอยู่ที่ใดก็ได้ บนโลกนี้ แล้วกดโอนผ่านมือถือ ซึ่งไม่มีตัวกลางอย่างธนาคาร โดยการทำธุระกรรมจะผ่านเทคโนโลยีบล๊อกเชน ที่คอยรักษาความปลอดภัยให้กับเรา ตลอดเวลา โดยคุณสามารถโอน "บิทคอยน์" ที่อยู่ คนละประเทศกันได้ เพียงเวลา ไม่กี่วินาที แถมยังเสียค่าธรรมเนียมไม่ถึง 100 บาท หากสมมุติคุณโอนเงิน 10 ล้านบาท โอ้โห เห็นแล้วยังละว่ามันดีอย่างไร สะดวกสบายมากขึ้นมากเลย (ว่าแต่เพื่อน ๆ มี Bitcoin ที่จะโอนกันแล้วยังคะ 55+) อย่างไรก็ตาม จากข้อสรุปทั้งหมดที่ "บุ๋ม" ได้กล่าวมาตั้งแต่ต้นจนถึงท้ายบทความนี้ สิ่งที่เหมือนอยู่หนึ่งประการนั้นก็คือ "การให้มูลค่า" และการที่สิ่งนั้นจะมีมูลค่าได้ก็ต้องเกิดจากความต้องการของ มนุษย์ ที่ให้ความสำคัญกับสิ่ง ๆ นั้น และเชื่อมั่นในสิ่งนั้นว่ามันมีมูลค่า เครดิตรูปภาพทั้งหมด รูปประกอบ 1