ก่อนที่จะมีลูกเป็นของตัวเอง เคยได้ยินพี่สะใภ้พูดคุยกับคนในครอบครัวเรื่องจู๋ ใช่ค่ะ ไม่ผิด ^_^ เป็นจู๋ของเด็กน้อยวัยเตาะแตะ ที่หนังหุ้มปลายยังไม่เปิด เรื่องของเรื่องคือพาไปฉีดวัคซีน แล้วคุณหมอขอดูพัฒนาการและเรื่องทั่ว ๆ ไปของเด็กว่าปกติมั้ย ก็มาเจอเรื่องนี้เข้า หมอก็ให้ยากลับมาทา พี่สะใภ้ก็กลับมาเครียด หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ตามต่อค่ะ แต่เหมือนสุดท้ายได้ยินมาว่าปลายเปิดได้แล้ว มาเข้าเรื่องลูกเราดีกว่านัดพบคุณหมอศัลยกรรมเด็ก เราเริ่มมีความกังวลเล็ก ๆ ว่าหนังหุ้มปลายของลูกคนโตยังไม่เปิด จึงปรึกษาคุณหมอตอนไปฉีดวัคซีน คุณหมอก็ให้ยามาทาเพื่อช่วยให้หนังเปิด ทาไปค่ะ ทาไปหลายเดือน พยายามรูดลง มีเลือดซิบบ้าง กลัวลูกเจ็บบ้าง บางวันก็ลืมรูด บางวันลูกก็วิ่งหนี ก็ปล่อย ๆ ไปคิดว่าวันนึงมันจะเปิดได้เอง มันก็รูดลงได้เล็กน้อยแต่ไม่สุด อยู่มาวันนึงระหว่างอาบน้ำให้เค้า รู้สึกจู๋ลูกมันเป็นปล้อง บวมตรงกลาง แม่ก็ไม่สบายใจบอกกับลูกว่าอาบน้ำเสร็จเรามาดูจู๋กันหน่อยนะ ก็จับเค้านอนลง แล้วลงมือรูดหนังหุ้มปรากฎว่าเปิดได้จ้า พร้อมกับมีขี้เปียกสีขาวออกมาจากหนังหุ้มด้วย ยิ่งรูดยิ่งออก แล้วก็ตกใจด้วยความที่กลัวว่าลูกจะเจ็บ ก็เลยรีบรูดกลับปิดไว้เหมือนเดิม คุยกันกับคุณพ่อเค้าว่าเราควรต้องพาลูกไปหาหมอจริงจังแล้วล่ะ แบบนี้ไม่น่าจะปกติจัดแจงนัดคุณหมอศัลยกรรมเด็กคิวทอง คุณหมอไม่เวิ่นเว้อค่ะ “หนังหุ้มปลายไม่เปิดนะคุณแม่ แบบนี้ทำความสะอาดยาก ขลิบจะดีกว่า” ก็เล่าเรื่องราวให้คุณหมอคิวทองฟังว่าเรารูดแล้วมีขี้เปียกออกมา คุณหมอคิวทองก็อธิบายว่าสิ่งนี้มันคือเซลล์ผิวหนัง ขี้ไคล ที่มันสะสม หมักหมม อยู่ใต้หนังหุ้ม ถ้าเราดูแลทำความสะอาดได้ไม่ดี มันก็จะเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค “คุณแม่นัดวันขลิบกับพยาบาลได้เลย” สิ้นเสียงคุณหมอคิวทอง ก็เหมือนเปิดการเชิญให้เราออกจากห้องตรวจโดยอัตโนมัติ เราก็ออกมานั่งรอแบบงง ๆ ซักพักพยาบาลก็มาจัดแจงนัดวัน กลับมาพ่อแม่ก็มาคุยกันเราคิดดีแล้วใช้มั้ยที่จะให้ลูกขลิบ คุณพ่อเค้าบอกว่าดีแหล่ะ เราจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องทำความสะอาด และการติดเชื้อผ่าตัด และพักฟื้นมาถึงวันนัดผ่าตัด เราไปถึงแผนกฉุกเฉินที่โรงพยาบาลประมาณตีห้า มีเจ้าหน้าที่ที่ห้องฉุกเฉินมาซักไซร้ข้อมูลของลูกเพื่อยืนยันตัวตน หลังจากเสร็จก็ให้เราพาเด็กไปรอที่ห้องผ่าตัด ไปถึงห้องผ่าตัดก็จัดแจงให้ลูกเปลี่ยนชุดเป็นใส่ชุดเตรียมผ่าตัดสีเขียวเข้ม รอซักพักใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่มาเรียก เราก็พาลูกเข้าไปในห้องผ่าตัด อุ้มเค้าไปวางบนเตียง วิสัญญีแพทย์ที่วางยาชวนลูกคุยแล้วเอาหน้ากากมาครอบที่จมูกลูก แล้วลูกก็หลับไป ผ่านไปไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ลูกก็ได้มาอยู่ห้องพักฟื้น พอลูกตื่นเจ้าหน้าที่ก็มาเรียกให้ไปอุ้ม แล้วพาไปห้องพัก มาถึงห้องพักลูกก็ยังสะลึมสะลือ ร้องไห้เจ็บปวดตลอดเวลา ที่จู๋จะมีแก้วกระดาษ (ทรงกรวยที่เอาไว้กดน้ำกินตามโรงพยาบาลนั่นแหล่ะค่ะ) แปะมาครอบจู๋เอาไว้ ไว้กันกระแทก และกันโดนสัมผัส หลังจากนี้เราต้องจัดการแปะแก้วกระดาษนี้เองค่ะ โดยตัดตรงปลายแหลมออก ตัดตรงปากแก้วให้เป็นแฉก และใช้เทปแปะติดตรงเนื้อไว้ ลูกฉี่ทีก็เปลี่ยนแก้วใหม่ที วันที่สองเจ้าหน้าที่เอากะละมังเข้ามาวางรอและแจ้งว่า “รอคุณหมอมาดูแผลนะคะ แล้วเดี๋ยวเรานั่งกะละมังกัน” คุณหมอมาถึงก็บอกว่า “แผลดี แช่กะละมังได้เลย” แต่แม่จำไม่ได้แล้วถึงเหตุผลของการนั่งแช่น้ำในกะละมัง ตอนบ่าย ๆ ก็ได้กลับบ้านค่ะ เราอยู่กันแบบไม่ใส่กางเกงประมาณอาทิตย์นึงค่ะ ไป follow up กับคุณหมอ ก็ไปแบบไม่ใส่กางเกงค่ะ ยังไม่ยอมใส่เพราะกลัวเจ็บ สามารถวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวได้ เหมือนไม่เคยโดนผ่าตัดมาก่อนเด็กน้อยร้องไห้เจ็บปวดแสนสาหัส เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ ตอนฉี่นี่จะเจ็บเป็นพิเศษ เดาว่าเจ็บจากจู๋แข็งตัว หดตัว เจ็บใจเพราะรูปลักษณ์จู๋ไม่เหมือนเดิม ร้องไห้โวยวายอยากได้จู๋เดิม พ่อแม่ก็คอยอธิบายเรื่อย ๆ ว่าเราทำแบบนี้เชื้อโรคจะไม่มาสะสมที่จู๋แล้วนะ เราจะทำความสะอาดง่ายด้วยนะลูก พอเห็นลูกร้องอยากได้จู๋เดิมก็คิดได้ว่า พ่อกับแม่ขอโทษนะ น่าจะให้หนูขลิบเร็วกว่านี้ ตอนที่เด็กกว่านี้ หนูจะได้ยังไม่รู้เรื่องมากนัก หลังผ่าตัดแรก ๆ ก็ต้องรับมือกับอารมณ์เด็กน้อยบ่อยหน่อย เพราะเค้าคิดถึงจู๋เดิม อยากได้แบบเดิม เค้ารู้สึกแตกต่าง ของเค้าไม่เหมือนเพื่อน แต่เราก็พยายามพูดกับเค้าด้วยเหตุผลว่ามันมีแต่ข้อดีนะที่ทำแบบนี้สองสามเดือนผ่านไปเรื่องนี้ก็ถูกลืมค่ะ ลูกคงลืม ด้วยความเคยชินกับรูปลักษณ์ใหม่ หลักจากแผลเริ่มดีขึ้นแรก ๆ บริเวณนั้นจะเซนซิทีฟมาก ไปจับต้องไม่ค่อยได้ แต่ข้อดีก็มีมากล้างทำความสะอาดง่ายมาก ฉี่คล่องหมดความกังวลในเรื่องจู๋ไปเลย คุณหมอคิวทองก็ผ่าตัดได้เนี๊ยบมากค่ะ ออกมาสวยมาก ๆ แนะนำให้พาลูกชายไปขลิบค่ะ แต่ควรไปทำตอนยังเล็ก ๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง ไม่อย่างนั้นภาระจะอยู่ที่พ่อแม่ที่ต้องคอยรับมือการวีนเหวี่ยงในวันที่จู๋หนูไม่เหมือนเดิมสรุป1. ถ้าลูกมีปัญหาเรื่องฉี่ หรือจู๋เป็นปล้องแบบของเรา ขลิบเป็นทางออกที่ดีค่ะ ทุกปัญหาจะหายไป ในส่วนของคนที่กำลังตัดสินใจจะพาลูกไปขลิบแต่ไม่ได้มีปัญหาเรื่องจู๋ การขลิบดีค่ะ แผลหายเร็ว รักษาความสะอาดง่าย ไม่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค 2. ก่อนผ่าตัดไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลยค่ะ ควรรักษาร่างกายให้แข็งแรงไม่เจ็บป่วยก่อนการผ่าตัดจะดีที่สุดค่ะ3. เตรียมรับมือลูกน้อย การตอบคำถาม อารมณ์ และความเจ็บปวด ในเด็กเล็กก่อน 3 ขวบ ยังไม่รู้เรื่องมากนักบ้านนี้ก็อธิบายเหตุผลเรื่องความสะอาดเป็นหลักค่ะ เค้าอาจจะไม่เข้าใจนะคะ แต่เราต้องคอยย้ำบอก เช่น เดี๋ยวแผลก็หายแล้วลูก หนูขลิบมาจะทำให้สะอาดนะ เชื้อโรคจะได้เข้าไปในจู๋ไม่ได้ เป็นต้น ต้องใจเย็นอย่าใช้อารมณ์ค่ะ อีกคำถามที่ต้องตอบบ่อย ๆ คือ "อยากได้จู๋เดิม" ก็วนกลับไปตอบเรื่องความสะอาดค่ะ 4. พักฟื้นที่โรงพยาบาลเตรียมขนของเล่นไปเลยค่ะ เพื่อดึงความสนใจเค้าออกจากความเจ็บปวด แต่วันนึงความทรงจำเรื่องขลิบมันก็จะหายไปเอง บ้านนี้ลูกไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้อีกเลยหลังจากแผลหายดีค่ะ5. การดูแลหลังผ่าตัด คุณหมอจ่ายยามาให้ทาแผลค่ะ หลังจากผ่านไปหนึ่งอาทิตย์คุณหมอจะนัดไปดูแผลหนึ่งครั้ง แผลจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามลำดับค่ะ อาบน้ำได้ปกติ แต่อย่างที่บอกข้างต้นค่ะ ส่วนนั้นจะเซนซิทีฟมาก พยายามหลีกเลี่ยงการสัมผัสตอนหลังผ่าตัดมาแรก ๆ ค่ะ ภาพถ่ายทั้งหมดโดย Wonderland