ในบริบทของการเดินทางทุกวันนี้ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า เมื่อเราต้องเดินทางไปไหน มาไหน เราก็ต้องใช้ยานพาหนะในการเดินทาง เช่น การเดินทางไปทำงานหรือเรียนหนังสือ, ท่องเที่ยว, ซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เราก็ต้องพึ่งยานพาหนะ นั่นคือรถ ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ รถสาธารณะ ซึ่งรถเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะใช้น้ำมัน หรือแก๊ส เป็นเชิ้อเพลิง เมื่อน้ำมันหรือเชื้อเพลิงผ่านการสันดาปจากเครื่องยนต์แล้ว รถเหล่านั้นก็จะปล่อยควันไอเสียออกสู่บรรยากาศรอบข้าง ทำให้เกิดการสะสมของฝุ่นละอองภายในอากาศเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังส่งผลให้เกิดแก๊สเรือนกระจกอีกด้วย ภาพโดย David ROUMANET จาก Pixabay เนื่องด้วยสาเหตุนี้ ยานยนต์ไฟฟ้า(Electric Vehicle : EV) จึงมีการผลักดันให้หันมาใช้มากยิ่งขึ้น เพราะว่ายานยนต์ไฟฟ้านั้นใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อนแทนที่จะใช้น้ำมัน หรือแก๊ส เหมือนกับยานยนต์ในรุ่นก่อนๆ หรือจะพูดกันง่ายๆเลยคือ ยานยนต์ไฟฟ้ามีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม(Environmental Friendly) มากกว่านั่นเอง นอกจากปัจจัยของสิ่งแวดล้อมนี้แล้ว ก็ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่สนับสนุนให้คนหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ราคาค่าชาร์จไฟถูกกว่าค่าน้ำมันเมื่อเปรียบเทียบในระยะทางที่เท่ากัน หรือในบางรัฐบาลก็มีเงินสนับสนุนให้กับผู้ที่ต้องการซื้อยานยนต์ไฟฟ้า เป็นต้นภาพโดย Paul Brennan จาก Pixabay เมื่อแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้าเริ่มหมด เราจะต้องทำการชาร์จ(อัดประจุไฟฟ้า)กลับเข้าไปใหม่ เหมือนการชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือ แต่แบตเตอรี่ยานยนต์ไฟฟ้ามีขนาดใหญ่กว่ามาก อยู่ที่ประมาณ 10 กิโลวัตต์-ชม. ซึ่งการชาร์จแบบธรรมดาจะใช้เวลาประมาณ 5 - 6 ชม. ถึงจะเต็ม โดยใช้กำลังไฟฟ้าประมาณ 2 กิโลวัตต์ เปรียบเสมือนเราใช้เตารีดสองตัวในเวลาเดียวกัน(เตารีด 1 ตัวใช้กำลังไฟฟ้าประมาณ 1 กิโลวัตต์) เป็นเวลา 6 ชม. จะเห็นได้ว่า หากในอนาคตมีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น การชาร์จแบตเตอรี่ของยานยนต์ไฟฟ้านั้นก็จะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลต่อระบบของผู้ให้บริการจำหน่ายไฟฟ้าอย่าง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง หรือแม้กระทั่ง การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ย่อมได้รับผลกระทบนี้ด้วย เนื่องจากความต้องการพลังงานไฟฟ้าของทั้งประเทศที่สูงขึ้นตามจำนวนของยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคต ภาพแสดงความต้องพลังงานไฟฟ้าสูงสุดของประเทศไทย เมื่อปี 2562 ภาพโดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะไม่เห็นว่ามันเป็นปัญหาอะไรมากสำหรับมุมมองผู้ใช้ไฟฟ้า เพราะแน่นอนอยู่แล้ว เรามีกำลังจะจ่ายค่าไฟแต่ในทางกลับกัน หากมองในมุมมองของผู้ให้บริการไฟฟ้า มันย่อมเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเพื่อให้ประชาชนมีไฟฟ้าใช้ นั้นอาจหมายถึงการสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่ หรือการนำเข้าพลังงานไฟฟ้าจากต่างประเทศ เพื่อรองรับความต้องการพลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น นำไปสู่การใช้แหล่งทรัพยากรน้ำมัน และแก๊สมากยิ่งขึ้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น ยิ่งเราพึ่งพาแหล่งทรัพยากรเหล่านี้มากเท่าไหร่ ก็จะก่อให้เกิดการเผาผลาญหรือสันดาปขณะผลิตไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้ามากขึ้นเท่านั้น นั่นก็คือ ยิ่งผลิตมลภาวะทางอากาศและภาวะโลกร้อน ตามมาภาพโดย Ralf Vetterle จาก Pixabay ถึงแม้ว่า ยานยนต์ไฟฟ้าอาจจะถูกมองเหมือนเป็นแค่เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน แต่ในอนาคตนั้น ด้วยแนวโน้วที่ผู้คนจะหันมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น จึงส่งผลกระทบด้านความต้องการพลังงานต่อผู้ให้บริการไฟฟ้าอย่างที่กล่าวมา เพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาในส่วนนี้ ทางภาครัฐได้ออกมาตรการหรือนโยบายเกี่ยวกับการลดการใช้พลังงานอย่างที่เราทราบกันดี คือ การตอบสนองด้านความต้องการ (Demand Response) ซึ่งเป็นการขอความร่วมมือจากการไฟฟ้าฯ ถึง ผู้ใช้ไฟฟ้า ให้ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า เช่น การปิดไฟที่ไม่จำเป็น การปิดไฟในเวลาเที่ยงวันวันละ 1 ชม. หรือการเลิอกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพ (ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ) รวมถึงการรณรงค์ให้ผู้ใช้ไฟฟ้ามีความตระหนักถึงผลที่จะตามมาหากเราใช้พลังงานไฟฟ้าที่สูงขึ้น บทความนี้เลยมุ่งเน้นให้ผู้อ่านได้มีความเข้าใจถึงผลกระทบของการใช้พลังงานไฟฟ้าที่มากขึ้นทุกวัน ไม่ใช่แค่เพราะยานยนต์ไฟฟ้าในอนาคตเท่านั้น แต่รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจำวันของเรา หากเราช่วยกันประหยัดไฟแล้ว นั่นแสดงให้เห็นว่าเรามีความรับผิดชอบต่อสังคม และต่อสิ่งแวดล้อมโลก หนำซ้ำยังประหยัดเงินในกระเป๋าของเราอีกด้วย