'ฝรั่งบันทึกสยาม' - หนังสือสะท้อนประวัติศาสตร์ที่ไม่ควรมองข้ามฝรั่งบันทึกสยาม เรียบเรียงโดย เริงวุฒิ มิตรสุริยะ ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ยิปซี เมื่อ เดือนสิงหาคม พ.ศ. 2552 เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของสยามกับบรรดาชาติตะวันตกในสมัยอยุธยา โดยผู้เขียนให้ข้อคิดเห็นว่าแม้เรื่องความสัมพันธ์กับชาติตะวันตกนี้จะมีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่กลับมีผู้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่น้อย ประเด็นต่าง ๆ ที่มีนักวิชาการหรือนักประวัติศาสตร์ศึกษาอยู่บ้างแต่ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอและยังไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ โดยผู้เขียนได้มีการคัดเลือกเอาบรรดานักเขียน / นักบันทึก / นักสังเกตการณ์ชาวตะวันตกหลากหลายชาติที่ได้สร้างงานเขียนเอาไว้เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาของนักค้นคว้าทางประวัติศาสตร์มานำเสนอ คัดเฉพาะผู้ที่บันทึกเรื่องราวของชาวสยามสมัยอยุธยามาเป็นหลัก ทั้งนี้เพราะบรรดานักเขียนเหล่านี้ ซึ่งมีทั้งนักแสวงโชค นักบวช นายทหาร ทูต หรือแม้แต่พ่อค้า ได้ทำงานและบอกเล่าประวัติศาสตร์ของบรรดาชาติต่าง ๆ ในภาคพื้นอุษาคเนย์และรวมไปถึงอินเดียและจีนเอาไว้มากมายหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการเดินทางเข้ามาของบรรดาชาติตะวันตกที่ได้มาเปิดโลกของยุคสมัยแห่งการแสวงหาและล่าอาณานิคม นับตั้งแต่ที่โปรตุเกสสามารถนำเรืออ้อมผ่านแหลมกู๊ดโฮปในทวีปแอฟริกาได้สำเร็จ ธงแห่งการรุกรานก็ได้เริ่มถูกปักลงยังภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก พร้อมกันกับเป็นช่วงเวลาแห่งการกอบโกยและหาผลประโยชน์จากธรรมชาติวิทยาและภูมิศาสตร์ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะหมู่เกาะต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย คือเป้าหมายสำคัญในการเดินทางไกลฝ่ามรสุมในมหาสมุทรของคนผิวขาวจากอีกซีกโลกหนึ่ง ไม่เพียงแต่เป็นการแสวงหาแสงสว่างแห่งวิทยาการหรือความมั่งคั่ง แต่นำมาซึ่งความรุ่งเรือง ความร่ำรวย ความเจ็บปวดจากการไล่ล่าและยึดครอง รวมไปถึงนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงในเจ้าของดินแดนไม่ได้คาดคิดมาก่อน แต่กระนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าการมาเยือนของชาติตะวันตกก็ได้นำความเจริญในรูปแบบใหม่ที่ได้สร้างความแตกต่างเข้ามายังดินแดนเอเชียแห่งนี้ด้วยเช่นกัน ชาวตะวันตกที่ผู้เขียนได้คัดเลือกมานั้นส่วนใหญ่เป็นผู้ที่เดินทางเข้ามาในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ ซึ่งเป็นช่วงที่อยุธยามีความเจริญรุ่งเรืองมากช่วงหนึ่ง ชาติตะวันตกที่ผู้เขียนได้ยกมากล่าวถึงนั้นได้แก่ โปรตุเกส ฮอลันดา ฝรั่งเศส และอังกฤษ เนื่องจากประเทศเหล่านี้ในช่วงเวลานั้นถือได้ว่าเป็นประเทศมหาอำนาจที่ต่างก็พยายามแข่งขันกันเดินทางมาแสวงหาผลประเทศจากซีกโลกตะวันออก ภายในหนังสือได้กล่าวถึงชาวตะวันตกที่ได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอยุธยา ได้แก่ เฟอร์เนา แมนเดส ปินโต (Fernao Mandes Pinto), วัน วลิต (Jeremias Van Vliet), เชอวาลิเยร์ เดอ ฟอร์บัง (Chevalier de Fourbin), บาทหลวงฟรังซัวส์ ตีโมเลอ็อง เดอ ชัวซีย์ (abbe Francois Timoleon de Choisy), บาทหลวงตาชาร์ด (Pere Tachard), ซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Lobere) และ เอนเยลเบิร์ต แกมเฟอร์ (Engelbert Kaempfer) ซึ่งบุคคลที่ผู้เขียนนำมากล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้นั้น ล้วนเป็นบุคคลที่บันทึกข้อมูลที่มีความสำคัญต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ไทยสมัยกรุงศรีอยุธยาทั้งสิ้น หนังสือเรื่อง ฝรั่งบันทึกสยาม ผู้เขียนใช้กลวิธีในการเขียนคล้ายกับการเล่าเรื่อง มีการเกริ่นนำถึงภูมิหลังของเรื่องราวอย่างคร่าว ๆ มีการให้ข้อมูลแวดล้อมเพิ่มเติมที่ทำให้รู้สึกอ่านแล้วเกิดความเข้าใจและเห็นภาพชัดขึ้น เนื้อหาในแต่ละบทค่อนข้างมีความต่อเนื่องกัน หากจะกล่าวถึงเรื่องถัดไป ผู้เขียนจะเกริ่นถึงเรื่องก่อนหน้าโดยมักมีความเชื่อมโยงถึงกัน และในขณะที่กำลังกล่าวถึงเนื้อเรื่องในบทถัดไปผู้เขียนมักจะเขียนโยงให้เห็นถึงความสัมพันธ์กับเรื่องก่อนหน้าอย่างคร่าว ๆ ทำให้ผู้อ่านไม่หลงลืมว่าอ่านก่อนหน้านั้นอ่านอะไรมา ทั้งผู้เขียนยังใช้ภาษาที่อ่านเข้าใจงาน ไม่ใช้คำศัพท์ทางวิชาอ่านที่อ่านเข้าใจยาก ยกเว้นคำเฉพาะหรือคำราชาศัพท์ที่ไม่อาจเลี่ยงได้ นอกเหนือไปจากใจความสำคัญของเรื่องแล้ว ผู้เขียนยังเขียนอธิบายถึงที่มาที่ไปของเรื่องราว หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภูมิภาคอื่นที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น เช่น การเดินทางมายังซีกโลกตะวันออกของฮอลันดา ผู้เขียนจะเกริ่นตั้งแต่เริ่มต้นว่าในขณะนั้นประวัติศาสตร์ของยุโรปเกิดอะไรขึ้นบ้าง เหตุใดฮอลันดาถึงต้องการที่จะเข้ามาแสวงหากำไรจากการค้าจากเอเชีย รวมไปถึงการก่อตั้งบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ (Vereenigte Oost-In-dische Compagnie) หรือ VOC ที่มีการเข้ามาตั้งสถานีการค้าในที่ต่าง ๆ เช่น บันตัม ปัตตาเวีย เป็นต้น ในแต่ละบทผู้เขียนจะพูดเกริ่นถึงภูมิหลังของชาวตะวันตกผู้นั้นก่อน โดยกล่าวตั้งแต่สภาพสังคม การเมือง ของประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิดของชาวตะวันตกผู้นั้น การศึกษา เรื่องมาจนถึงการทำงาน ไปจนกระทั่งเหตุที่ทำให้เขาได้เข้ามารับราชการหรือเข้ามาอยู่ในคณะเดินทางที่เดินทางมายังอยุธยา ซึ่งแม้ว่าผู้เขียนจะเลือกชาวตะวันตกที่บันถึงข้อมูลเกี่ยวกับสยามเอาไว้ โดยพยายามคัดเลือกมาอย่างหลากหลายและปรากฏหลักฐานรวมถึงมีความน่าเชื่อถือ แต่ก็ยังถือว่ามีจำนวนน้อย เพราะเชื่อว่าจริง ๆ แล้ว ผู้ที่เดินทางเข้ามายังสยามคงมีจำนวนมาก แต่เนื่องด้วยขาดหลักฐานบันทึกการเดินทาง รวมไปถึงบันทึกที่ยังไม่ได้รับการแปลความ จึงทำให้ไม่สามารถนำมายกตัวอย่างได้ในหนังสือเล่มนี้ อีกทั้งก็เป็นไปตามที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ว่าข้อมูลที่ได้รับการศึกษาวิจัยทางประวัติศาสตร์นั้น ยังมีจำนวนน้อยและทำให้นำไปใช้ประโยชน์ได้ไม่มากเท่าที่ควรบุคคลที่ผู้เขียนเลือกมาส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับราชสำนึกจึงทำให้รับรู้ข้อมูลเพียงประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับชนชั้นสูง ข้อมูลเกี่ยวกับสังคมโดยทั่วไปของชาวสยามในสมัยอยุธยาจึงค่อนข้างน้อย จะเห็นภาพของสังคมชาวสยามในสมัยอยุธยาได้จากในบทที่กล่าวถึง ซิมอง เดอ ลาลูแบร์ (Simon de La Lobere) ที่ลาลูแบร์ได้พูดถึงชาวสยามไว้ว่า“ชาวสยามไปไหนมาไหนด้วยเท้าเปล่าและมิได้สวมหมวก เพื่อที่จะปกปิดสิ่งที่อุจาดเท่านั้นจึงพันเอวและขาอ่อนกระทั่งถึงใต้หัวเข้าไว้ด้วยชิ้นผ้ามีดอกดวง...”และยังกล่าวอีกว่า“แต่อย่างไรก็ดีการเปลือยกายทำนองนี้ ใช่ว่าชาวสยามจะไร้ยางอายก็หาไม่ ตรงกันข้ามทั้งชายและหญิงในประเทศนี้กลับเป็นชนชาติที่มีความตะขิดตะขวงใจเป็นอย่างยิ่งในโลก ที่จะเผยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายซึ่งธรรมเนียมทั้งหมดปิดบังไว้... เราก็ต้องจ่ายผ้าขาวม้าให้ทหารฝรั่งเศสนุ่งเพื่อลงอาบน้ำตามตีนท่า เพื่อระงับข้อครหาของชาวเมืองที่เห็นทหารฝรั่งเศสเปลือยกายล่อนจ้อนลงอาบน้ำในแม่น้ำ”จากคำพูดของลาลูแบร์ จากในหนังสือที่ผู้เขียนยกมาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เห็นภาพของชาวสยามว่ามีการแต่งกายเป็นอย่างไร รวมไปถึงอุปนิสัยที่มีความเหนียมอายที่จะเปิดเผยส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายให้ผู้อื่นเห็นในตอนท้ายของเล่ม ผู้เขียนได้มีการทิ้งท้ายไว้เกี่ยวกับประเด็นประวัติศาสตร์ในสมัยอยุธยาที่ได้จากบันทึกและพูดถึงของชาวตะวันตก ซึ่งยังคงเป็นข้อถกเถียงกันอยู่และยังคงรอให้นักวิชาการหรือนักประวัติศาสตร์ได้วิจัยและศึกษาค้นคว้ากันต่อไป ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลพบในบันทึกของ เอนเยลเบิร์ต แกมป์เฟอร์ (Engelbert Kaempfer) ที่ได้บันทึกเป็นเอกสารที่ได้รับการแปลไทยนภายหลังชื่อว่า “ไทยในจดหมายตุแกมป์เฟอร์” แปลโดย นายอัมพร สายสุวรรณ หรือ อ. สายสุวรรณ ซึ่งในบันทึกของแกมป์เฟอร์เป็นเรื่องราวในขณะที่เขาเดินทางมาเยือนกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ.2233 ตรงกับสมัยของพระเพทราชา ในหนังสือได้กล่าวถึงสิ่งที่เขาบันทึกไว้ว่า วันที่ 12 มิถุนายน เป็นวันฌาปนกิจศพมารดาของโกษาปาน แกมป์เฟอร์อธิบายไว้ว่า “มารดาแท้ของโกษาปานล่วงลับไปแล้วเมื่อ 15 เดือนก่อน นี่เป็นการฌาปนกิจศพแม่นมของโกษาปานที่ตัวท่านเคารพนับถือเสมือนแม่” ทั้งยังบอกถึงสถานที่ฌาปนกิจศพของผู้ล่วงลับอยู่ในระหว่างสองแควของแม่น้ำตรงข้ามกรุง ณ กลางที่นี่ได้ก่อเจดีย์สูงใหญ่ ประดับประดาอย่างวิจิตรพิสดาร หีบศพวางอยู่บนพื้นไม้หอม สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จมาฌาปนกิจศพด้วยพระองค์เอง “เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านโกษาธิบดี ผู้ซึ่งพระองค์มีความนับถืออย่างน่าพิศวง” มีการสร้างอาศรมให้ภิกษุสงฆ์อยู่อาศัยด้วย ประตูนำไปสู่ ”กุฏิ” สงฆ์ มีหลังคาหลายชั้นลงรักปิดทองสวยงาม จากบันทึกดังกล่าวทำให้เกิดประเด็นที่ว่า แม่นมผู้นี้ใช่ “เจ้าแม่วัดดุสิต” หรือไม่ ผู้เขียนก็ได้เขียนถึง อ.ขจร สุขพานิช นักประวัติศาสตร์ที่ได้ศึกษาและเปรียบเทียบข้อมูลหลายแห่ง และตั้งสมมติฐานเอาไว้อย่างน่าสนใจ ทั้งยังพูดถึงเกี่ยวกับประเด็นเกี่ยวกับพระเพทราชาที่สั่งจับพระอนุชาธิราช 2 พระองค์ของสมเด็จพระนารายณ์สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ที่เมืองลพบุรี ซึ่งรับกันดีกับข้อความในพงศาวดารเรื่องเจ้าฟ้าอภัยทศ แต่ข้อความในบันทึกของแกมเฟอร์กล่าวว่า พระอนุชาธิราช 2 พระองค์ที่ถูกสำเร็จโทษไม่ใช่พระโอรสาธิราช ซึ่งจดหมายเหตุของชาวตะวันตกที่ได้เข้ามาเมืองไทยในช่วงนั้นก็ได้กล่าวตรงกันว่า สมเด็จพระนารายณ์ไม่มีพระราชโอรสมีแต่พระราชธิดา ฯลฯ จากตัวอย่างที่ได้ยกมาดังกล่าวก็แสดงให้เห็นถึงข้อมูลที่ผู้เขียนได้รวบรวมและเรียบเรียงมา รวมไปถึงประเด็นทางประวัติศาสต์ที่จะต้องทำการศึกษากันต่อไป นอกจากนี้ ภายในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนยังได้ยกเอาตัวอย่างแสดงออกมาให้ผู้อ่านได้เห็นภาพเป็นอย่างดี มีการกล่าวอ้างอิงกับบันทึกต่าง ๆ รวมไปถึงพงศาวดาร จดหมายเหตุ และผลงานการศึกษาของนักประวัติศาสตร์ท่านอื่นที่ได้ทำการศึกษาไว้บ้างแล้วด้วย แม้ว่าข้อมูลที่ผู้เขียนเขียนมาจะเป็นข้อมูลที่ทำให้อ่านเข้าใจได้ง่าย ได้รู้ประวัติศาสตร์ที่นอกเหนือไปจากประวัติศาสตร์อยุธยาเพียงอย่างเดียว แต่การสะกดคำหรือการพิมพ์ตกหล่นก็มีอยู่ค่อนข้างเยอะ อีกทั้งในบางครั้ง ผู้เขียนเขียนถึงคริสต์ศักราชกับพุทธศักราชไม่ตรงกันก็ทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจที่คลาดเคลื่อนในเรื่องของเวลาได้ เช่น ผู้เขียนกล่าวถึงการค้าระหว่างอยุธยากับ VOC ของฮอลันดาในช่วงที่ฮอลันดาเกิดปัญหาขึ้นกับญี่ปุ่น จนทำให้เกิดภาวะขาดทุนจนต้องปิดสถานที่การค้าที่อยุธยาไปในปี ค.ศ.1629 (พ.ศ.2171) ซึ่งเมื่อนับศักราชแล้วจะต้องตรงกับปี พ.ศ. 2172 ไม่ใช่ พ.ศ. 2171 ทั้งข้อมูลที่ผู้เขียนนำมานำเสนอก็เป็นข้อมูลที่มีความจำกัดอยู่แค่ในสมัยของสมเด็จพระนารายณ์เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งค่อนข้างเป็นข้อมูลที่อยู่ในช่วงเวลาเดียว ไม่หลากหลาย จึงอาจทำให้มองไม่เห็นถึงภาพรวมของประวัติศาสตร์ไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาในด้านการติดต่อค้าขายสัมพันธ์กับชาติตะวันตก เพราะในความเป็นจริงแล้ว สยามมีการเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างชาติมาเป็นระยะเวลายาวนาน อย่างไรก็ตามหนังสือเรื่อง ฝรั่งบันทึกสยาม ก็เป็นหนึ่งในหนังสือประวัติศาสตร์ที่มีความเกี่ยวข้องกับอยุธยาที่ควรค่าแก่การอ่านเล่มหนึ่ง เพราะทำให้ทราบถึงเรื่องราว มุมมอง และความรู้สึก ที่ชาวตะวันตกมองสยามในช่วงเวลานั้น แม้ว่าช่วงเวลาหรือเรื่องราวที่ถูกบันทึกอาจจะมีความคลาดเคลื่อนหรือดูเกินจริงไปบ้างแต่กระนั้นก็ยังมีเค้าของความจริงอยู่ ซึ่งก็เป็นอีกมุมมองที่ทำให้ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาจะได้รับทราบและนำไปประกอบกับการศึกษาประวัติศาสตร์อยุธยาจากหลักฐานหรือบันทึกชิ้นอื่น ๆ และเมื่อพิจารณาถึงเนื้อความที่อยู่ภายในหนังสือเล่มนี้โดยรวมนั้นมีเนื้อหาที่น่าสนใจ น่าอ่าน และอ่านสนุก ไม่ได้เป็นหนังสือประวัติศาสตร์ที่วิชาการเกินไป การเขียนในแนวคล้ายการเล่าเรื่องของผู้เขียนทำให้เนื้อเรื่องน่าติดตาม เสมือนเดินทางไปพร้อมกับชาวตะวันตกผู้นั้น เพราไม่เพียงแต่จะทราบถึงมุมมองของเขาที่มีต่ออยุธยาในช่วงเวลานั้นแล้ว ยังทราบถึงประวัติสาสตร์หรือสภาพสังคมที่แวดล้อมเอเชียในขณะนั้นด้วย ที่มารูปภาพ- ภาพที่ 1 หนังสือ ฝรั่งบันทึกสยาม, credit: SE-ED- ภาพที่ 2 อยุธยาในสมัยพระนารายณ์, Cr: prachachat.net- ภาพที่ 3 ภาพประวัติศาสตร์ของ VOC จาก ศูนย์ข้อมูลประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-เนเธอร์แลนด์, Cr: baanhollanda- ภาพที่ 4 การแต่งกายในสมัยพระนาราณย์ จากจดหมายเหตุลาลูแบร์, Cr: silpa-magเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !