ก่อนจะพูดถึงเรื่องหนัง ขอออกตัวก่อนว่า เราเป็นคนที่ดูหนังได้เกือบทุกแนว และชอบหนังที่คิดเยอะ ๆ เป็นพิเศษ ชอบจับผิดหนัง หนังแนววิทยาศาสตร์อาจจะดูน่าเบื่อ ดูไม่เข้าใจ มีความงง ๆ แต่สำหรับเราเรื่องนี้เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่เราชอบเป็นการส่วนตัว ถูกจริตกับเรา โดยที่เราไม่ได้มีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์แบบลึกซึ้ง (เป็นเด็กสายวิทย์ แต่ฟิสิกส์ติด 0 ฮ่า ๆ) พอจะนึกภาพออกเนอะ ความชอบของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไป มันยากที่จะเล่าสิ่งที่เราชอบและเข้าใจ ให้คนมาชอบและมาเข้าใจอย่างเดียวกับเรา เลยต้องออกตัวไว้ก่อน... เราชอบคิด ชอบจินตนาการตามหนัง และชอบหาสิ่งที่ผู้สร้างหนังจะสื่อสาร ถ่ายทอดออกมาว่าต้องการบอกอะไร ยิ่งถ้าเจอพวกประโยคชวนคิด สะกิดใจ จะชอบหาคำตอบ คำอธิบาย หาเหตุผลมาสนับสนุน ซึ่งก็มีทั้งหาคำตอบได้ และหาคำตอบไม่ได้ มันจะรู้สึกเองว่าอันนี้ปล่อยผ่าน อันนี้น่าสนใจอะไรประมาณนี้ คือคนเราเวลาดูหนัง หรือดูละคร เขาก็ดูกันแค่เพื่อความบันเทิง เรื่องนี้สนุกดีก็จบ แต่เราไม่เป็นอย่างนั้น จะชอบตั้งคำถาม ชอบสงสัย ชอบทำความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวละครแต่ละตัวจะสื่อออกมา พยายามจะเข้าใจให้ได้มากที่สุด และที่สำคัญคือ เราจะได้อะไรจากสิ่งที่ดู สิ่งที่ฟัง สิ่งที่อ่าน แต่ไม่ได้เป็นกับหนังหรือละครทุกเรื่องนะ ถ้าเป็นกับทุกเรื่องคงไม่ปกติแล้วล่ะ บางครั้งก็คิดว่าตัวเองเพี้ยน... ก็เป็นมาตั้งแต่เด็ก และเป็นมาตลอด แต่ก็ไม่ได้จริงจังถึงขนาดต้องหาคำตอบให้ได้ขนาดนั้น อธิบายไม่ถูกเหมือนกันแหะ... ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นส่วนตัว ความชอบส่วนตัว ในการเล่าเรื่องอาจจะยกมาแค่บางช่วงบางตอน ไม่ได้เรียงลำดับตามในหนัง แนะนำให้ถอดสมองออกก่อน แล้วใช้ความรู้สึกแทน อารมณ์เหมือนดูหนังจบ แล้วนำมาเล่ากันในกลุ่มเพื่อน ๆ น่ะหนังเรื่องนี้เป็นหนังเก่า เข้าฉายมาหลายปีแล้ว แต่เราเพิ่งได้ดู และชื่นชอบ เลยอยากนำมาแชร์ความรู้สึก ความคิดเห็นในมุมมองของเราที่เกิดขึ้นหลังจากดูจบ Lucy สวยพิฆาต เป็นหนังแนวแอคชั่น ปรัชญาวิทยาศาสตร์ ซึ่งหนังได้บอกว่า โดยปกติค่าเฉลี่ย มนุษย์สามารถเข้าถึงการทำงานของสมองได้เพียง 10% เท่านั้น (จริง ไม่จริงไม่รู้ แต่หนังทำออกมาได้ดี) ลูซี่ เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนในไต้หวัน เธอถูกแฟนหนุ่มของเธอหลอกให้เข้าไปพัวพันกับแก๊งค้ายา เธอถูกนำไปเป็นเหยื่อในการขนส่งยาข้ามประเทศ โดยใช้วิธีนำสารเสพติดร้ายแรงที่มีชื่อว่า CTH4 บรรจุเป็นถุง ๆ ผ่าตัดใส่ในท้องของเธอ แต่ระหว่างการขนส่ง ลูซี่ถูกทำร้ายร่างกาย ทำให้สารนั้นรั่วไหลเข้าไปในร่างกายของลูซี่ และทำปฏิกิริยากับร่างกาย รวมถึงสมองของเธอด้วย เธอสามารถเปิดการทำงานของสมองของเธอได้มากขึ้นเรื่อย ๆ จาก 10 – 100% เมื่อลูซี่ได้รับรู้ถึงความผิดปกติกับตัวเธอเอง รับรู้ทุกสรรพสิ่งรอบตัว ลูซี่ได้ติดต่อกับศาสตราจารย์ นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้น และลูซี่ต้องเผชิญหน้ากับแก๊งค้ายาที่ตามล่าตัวเธอด้วย ฉากแอคชั่น พอให้ได้ลุ้นกันตลอดทั้งเรื่อง หนังมีประโยคชวนคิดมาเป็นระยะ ๆ ถึงเราจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่แค่รู้สึกว่า เป็นเรื่องไม่ไกลตัวเลย (อาจจะเป็นเพราะเราจินตนาการเก่ง...) หลังจากลูซี่ได้พบกับศาสตราจารย์แล้ว เธอได้ตัดสินใจส่งมอบความรู้ทั้งหมดให้กับศาสตราจารย์เพื่อให้มนุษย์ได้ศึกษาต่อไป ในเรื่องมีหลายประเด็น และ keyword ที่น่าสนใจ ซึ่งเรานำมาเทียบเคียงวิทยาศาสตร์กับพุทธศาสนา ตามที่เขียนในบทความนี้ ชีวิตถูกมอบให้กับเรา เมื่อ 1,000 ล้านปีก่อน แล้วคุณใช้มันทำอะไร ประโยคนี้ คุณจะได้ยินลูซี่พูดเปิดเรื่อง แค่ได้ยินประโยคแรก ทำให้เรื่องน่าสนใจ น่าติดตาม ประโยคชวนคิด ในช่วงหนึ่งของหนังจะมีมือของลูซี่ (นางเอกของเรื่อง) กับมือของมนุษย์เพศหญิงคนแรกที่ถูกค้นพบ ชื่อลูซี่ เหมือนกัน (ซึ่งในหนังคือ ลิงหรือตัวอะไรไม่แน่ใจ) กำลังเอานิ้วมาแตะกัน จุดนี้ในหนังก็ไม่ได้อธิบายว่า มันเชื่อมโยงกันอย่างไร เหมือนต้องการให้คิด ว่าผู้หญิงคนแรกที่ถูกค้นพบมีชื่อว่า ลูซี่ และนางเอกซึ่งอยู่ในยุคปัจจุบัน ก็ชื่อลูซี่เหมือนกัน ก็ต้องแล้วแต่ใครจะตีความอย่างไร สำหรับเราคิดว่าน่าจะตีความได้อย่างเดียว... ลูซี่ คือคน ๆ เดียวกัน มีพูดถึงช่วงแรกกับช่วงท้าย ๆ ที่ย้อนเวลากลับไป ลูซี่เจอกับลูซี่ แล้วเอานิ้วแตะกัน แล้วภาพก็ตัดออกมา มันทำให้หนังดูมีอะไร ให้คนดูคิดตาม keyword สำคัญจากหนังเรื่องนี้ ก้าวผ่านเวลา อันนี้เราไม่ได้เข้าใจลึกซึ้งเท่าไหร่ แต่ก็พอเข้าใจได้ตามสติปัญญาของเราที่มีอันน้อยนิด... เหมือนหนังจะบอกประมาณว่า มนุษย์มีวิวัฒนาการมาจากสัตว์เซลล์เดียว แพร่ขยายพันธุ์ มีวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ ผ่านกาลเวลามานับพัน ๆ ล้านปี และเซลล์ในร่างกายของมนุษย์มีจุดประสงค์เดียว คือการเรียนรู้ และการถ่ายทอดความรู้ผ่านกาลเวลา ทำให้นึกถึงการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือ DNA ไม่ว่าจะเป็น สัญชาตญาณต่าง ๆ ของสัตว์แต่ละชนิด ถูกถ่ายทอดจากบรรพบุรุษจากรุ่นสู่รุ่น อมตะ, แพร่ขยายพันธุ์ สำหรับส่วนนี้เราเข้าใจว่า ชีวิตมีทางเลือก 2 ทาง อมตะกับแพร่ขยายพันธุ์ อมตะในทางวิทยาศาสตร์เราไม่แน่ใจว่าคืออะไร แต่ถ้าจากประโยคที่ว่า เมื่อสิ่งแวดล้อมไม่เอื้ออำนวย เซลล์จะเลือกทางที่เป็นอมตะ งั้นถ้าพูดถึงไดโนเสาร์ ซึ่งสูญพันธุ์ไปแล้ว อมตะก็คือสูญพันธุ์อย่างนั้นหรือ ? แต่การสูญพันธุ์ก็ยังทิ้งซากไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา ถ้าเทียบเคียงกับหลักศาสนาพุทธ เรานึกถึง 2 ทางนี้ นิพพานกับเวียนว่ายตายเกิด...ความมีตัวตน ส่วนนี้ทำให้นึกถึง อัตตาตัวตน ตัวกู ของกู กูเก่ง กูดี กูเหนือกว่าใคร มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ ฉลาดกว่า เก่งกว่าสัตว์อื่น ๆ ซึ่งมันก็จริง เราไม่เถียง แต่บางครั้งมนุษย์ก็เอานิสัยสัตว์มาใช้ จริงไหม ? (ขออภัยที่ใช้คำหยาบคาย แต่มันคือความจริง) ในเมื่อเราได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสัตว์ประเสิรฐแล้ว ก็ควรนำสิ่งที่มีมาใช้ พัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นเสมอ เพราะธรรมชาติของจิตใจ ก็เหมือนสายน้ำไหลลงต่ำเสมอ ตามแรงโน้มถ่วงของโลกความว่างเปล่า 1+1 ไม่เคยเท่ากับ 2 ความไม่มีอยู่ของอะไรเลย ทุกสิ่งล้วนถูกตั้งขึ้น ทั้งหมดคือสิ่งสมมุติ นี่คือเรา นี่คือเขา คนนี้ชื่อนี้ คนนั้นชื่อนั้น อันนี้เรียกว่า ต้นไม้ ถ้าภาษาอังกฤษเรียก Tree สมมุติไปตามภาษาของแต่ละประเทศ ...ตามหลักศาสนาพุทธ สิ่งที่เข้าถึงยากที่สุดก็คือ สมมุติทางโลก เข้าใจยากที่สุด และตัดยากที่สุด ไม่มีเวลาก็ไม่มีตัวตน หนังกำลังสื่อว่า เวลาคือสิ่งที่กำหนดการมีตัวตนของเรา โดยที่เวลานับจากการโคจร การหมุนของดวงดาวต่างๆ 1 วัน 1 เดือน 1 ปี แล้วถ้าดาวดวงอื่น ไม่มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์เหมือนเรา เขาจะนับกันอย่างไร ?... แม้แต่เวลามนุษย์ก็เป็นผู้กำหนดมันขึ้นมา ไม่มีเวลาก็ไม่มีตัวตน “เราไม่เคยตายจริงๆหรอก” ประโยคนี้ทำให้เรานึกถึงหลักศาสนาพุทธ ที่จิตของเราก็คือจิตดวงเดิม เพียงแค่หมดอายุขัยจากร่างนี้ไป ก็เปลี่ยนร่างใหม่ไปตามกรรมที่เราทำ จิตดวงเดิม นิสัยเดิม ไม่ว่าจะเกิดเป็นอะไร กี่ภพ กี่ชาติ นิสัยก็ตามนั้นแหละ... (สำหรับคนที่เชื่อ เพราะที่ไม่เชื่อเรื่องเวรกรรม บาปบุญคุณโทษ ภพชาติก็มีเยอะ) สาร CTH4 ที่ในหนังกล่าวถึง ทางวิทยาศาสตร์ได้บอกว่า มีสารนี้อยู่จริง ซึ่งเป็นสารที่อยู่ในครรภ์ของแม่ที่ตั้งครรภ์ อายุครรภ์ประมาณ 6 เดือนจะมีสารนี้อยู่ ผู้สร้างหนังได้ใส่จิตนาการลงไป โดยให้สารนี้เป็นสารเสพติดรุนแรง ที่ส่งผลกับร่างกายมนุษย์เมื่อได้รับสารนี้เข้าไป ไม่รู้ว่าเขาคิดได้อย่างไร จะทำได้จริงตามนั้นไหม เราไม่ได้สนใจจุดนั้น แต่หนังสร้างออกมามีเรื่องราวน่าติดตาม สนุกดี เราไม่ได้สนใจว่ามันจะตรงกับหลักหรือกฎทางวิทยาศาสตร์หรือไม่ แต่เมื่อเราดูแล้วทำให้นึกถึงหลักทางพุทธศาสนา การฝึกจิต นั่งสมาธิก็สามารถเข้าไปส่วนลึกสุดของจิตได้คล้าย ๆ กัน ในหนังใช้วิธีการนำสารตัวหนึ่งที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติ เข้าไปทำปฏิกิริยาบางอย่าง แล้วสมองถูกปลดล็อคได้รับรู้กฎของธรรมชาติทั้งหมด ย้อนอดีตได้ มีพลังพิเศษ อยู่เหนือกฎทุกอย่าง รู้แจ้ง เห็นจริงตามกฏธรรมชาติ ในทางพุทธศาสนาก็สามารถทำได้ เพียงแต่ว่า จิตเป็นนามธรรม ไม่สามารถมองเห็น จับต้องได้ หรือพิสูจน์ได้ นอกจากจะลงมือทำ มันทำให้เรานึกถึงหนังสือที่ชื่อ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น ที่นำวิทยาศาสตร์ที่ไอน์สไตน์พบ มาอธิบายสิ่งที่พระพุทธเจ้าเห็นได้ แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังตามไม่ทันอยู่ดี กว่าจะพิสูจน์ได้ทั้งหมด ไม่รู้ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ในหนังยังมีการพูดถึงการกำเนิดของสิ่งมีชีวิตและการกำเนิดโลก ซึ่งไม่ได้มีคำพูดหรือคำอธิบายอะไร เป็นเพียงภาพที่ทำย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น ย้อนไปเรื่อย ๆ ไปจนถึง นิวเคลียส หลาย ๆ อัน ค่อยๆ รวมเหลือเพียง 1 ซึ่งเป็นสิ่งที่หนังถ่ายทอดออกมาได้ดี เมื่อตัดประเด็นข้อเท็จจริงออกไป อีกจุดหนึ่งที่หนังพูดถึง ศาสตราจารย์ได้พูดว่า "หวังว่ามนุษย์จะคู่ควรกับความเสียสละของลูซี่ที่มอบความรู้ทั้งหมดให้มนุษย์ศึกษา" เพราะมนุษย์หลงกับอำนาจ ความโลภ เป็นอีกประโยคที่เราชอบ เพราะมันคือความจริง เราเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราเป็นใคร ? เราเกิดมาทำไม ? ถ้าเป็นช่วงวัยรุ่น คำตอบของเราคือ ใช้ชีวิตให้คุ้มค่า หาความสุขใส่ตัวให้มากที่สุดก่อนตาย แต่เมื่อโตขึ้น มองย้อนกลับไป ทำไมรู้สึกว่าตัวเองมาเพื่อกอบโกยความสุขเท่านั้นหรือ ? ถึงแม้ตอนนี้จะยังไม่ได้คำตอบที่แท้จริง แต่ก็รู้ว่าคำตอบเมื่อช่วงวัยรุ่นมันไม่ใช่ และเราเคยมีความสงสัยว่า สิ่งต่างๆ เช่น รถ บ้าน ฯลฯ ใครเป็นคนคิดว่าต้องเรียกสิ่งนี้ว่า รถ บ้าน มันอาจจะดูเหมือนบ้า (มันก็บ้าจริงนั่นแหละ ฮ่า ๆ) คือมันออกแนวคิดเล่น ๆ แต่เมื่อมาดูหนังเรื่องนี้ เห้ย! ทำไมเราได้คำตอบอะไรบางอย่าง กับไอ้คำถามต๊อง ๆ ปัญญาอ่อนของเรา ก็ไม่ได้รู้หรอกว่า ใครเป็นคนคิดชื่อเรียกสิ่งต่าง ๆ เรารู้เพียงว่า มันคือสิ่งที่มนุษย์สมมุติให้มันเท่านั้น แค่นี้เองหรือ ?... แต่กลับรู้สึกว่าได้ปลดล็อคอะไรบางอย่าง (ซะงั้น!!!) สิ่งต่างๆ ที่เราเห็น มันก็แค่วัตถุที่มีรูปร่าง รูปทรงต่าง ๆ เมื่อตาเรามองเห็นมันก็ส่งไปที่สมอง สมองก็ประมวลผลออกมาว่ามันคือ รถ ปกติของคนเรามันจะไม่รับรู้แค่ นี่คือรถ มันจะคิดต่อไป รถสีอะไร ของใคร อะไรก็ว่าไป แล้วแต่มันจะปรุง... การดูหนังแนววิทยาศาสตร์ต้องใช้จินตนาการร่วมด้วย อย่างที่ไอน์สไตน์ได้กล่าวไว้ “จินตนาการสำคัญกว่าความรู้” อย่างหนังเรื่อง Avatar เราว่าผู้สร้างเขาจินตนาการได้สุดยอดอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่เราได้คิดต่อจากหนังก็คือ มีจริงๆแน่นอน เมื่อมนุษย์ต้องการหาบางสิ่งบางอย่างจากดาวดวงอื่น เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ และพร้อมจะทำสงครามเพื่อแย่งชิง ดูเห็นแก่ตัวสุด ๆ แต่ก่อนเราก็คิดแค่ว่าเขาสร้างหนังมาให้เราดูเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่พอเวลาผ่านไป จากเหตุการณ์หลาย ๆ อย่าง ก็ทำให้เราคิดมากขึ้นว่า หนังแต่ละเรื่องมีอะไรซ่อนอยู่ ที่มันมีความจริงอยู่ในนั้น (หรือเราจะคิดมากไป... ฮ่า ๆ) แล้วอย่างหนังเกี่ยวกับมนุษย์ต่างด้าว ทำไปทำมาเราเริ่มรู้สึกว่า หรือมันจะมีจริง ? คนเรามันจินตนาการได้แค่ไหน และจินตนาการมาจากอะไร ถ้าไม่เคยเห็นหรือมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์อีก ที่เราคิดนะ ฝรั่งชอบทดลองตลอดเวลา มันจะไม่มีเชียวหรือ เพียงแต่เราไม่มีทางได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ได้แค่คิดเล่น ๆ รู้ไปก็แค่นั้น ไม่ต้องไปจริงจังมาก เราแค่เล่าสิ่งที่เราคิดตามประสาคนเพี้ยน ๆ ชอบคิด ชอบจินตนาการเท่านั้นเอง อยากอัจฉริยะแบบไอน์สไตน์ ใช้จินตนาการมากกว่าความรู้ แต่ดูเหมือนว่า เราจะดูเพี้ยนๆ ไม่มีสาระซะมากกว่านะเนี้ยะ การดูหนังเรื่องนี้ เราไม่ได้สนใจว่า มันจะจริงหรือไม่จริงแค่ไหน หลักหรือกฎอะไรมันจะตรง ไม่ตรง เพราะเราไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่คนเก่งที่จะรู้และเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง แต่เราบอกเล่าสิ่งที่เราเข้าใจในแบบของเรา และเราได้อะไรจากหนังบ้าง ซึ่งบางครั้งก็ไม่สามารถอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ แล้วแต่ว่าใครจะเลือกมองในมุมไหน สำหรับเราเรื่องนี้เหมือนการนำวิทยาศาสตร์มาขยายความเข้าใจของเรากับหลักพุทธศาสนาที่เรามี บางครั้งเราไม่จำเป็นต้องรู้ลึก หรือรู้จริงในทุกเรื่องก็ได้ บางอย่างรู้ไปก็เท่านั้น เคยถามตัวเองไหมว่า การรู้ลึก รู้จริง รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง แล้วนำไปถกเถียงกับคนอื่นคุณได้อะไร ? ถ้าคุณได้เพิ่มความรู้ให้กับผู้อื่น นั่นคือสิ่งที่ดี แต่ถ้าเพียงแค่อวดรู้ โชว์ภูมิ เอาชนะ มันไม่มีประโยชน์กับคนอื่น คุณได้แค่ความสะใจคนเดียว (นึกถึงสังคมโซเชี่ยลตอนนี้ที่คนชอบถกเถียง ทะเลาะกันจนกลายเป็นดราม่า) นอกเรื่องออกทะเลไปไกล... ตอบจบของหนัง ลูซี่ได้พูดว่า "ตอนนี้คุณรู้แล้วนะ ว่าจะใช้มันทำอะไร" น่าจะหมายถึงชีวิตที่เหลืออยู่ คุณจะทำอะไร ? สำหรับเราไม่มีคำตอบของคำถามนี้... อย่างที่บอก เราไม่ได้เข้าใจทั้งหมด แต่หนังทำให้เราเข้าใจอะไรมากขึ้นหลายอย่าง เข้าใจชีวิต เข้าใจกฎธรรมชาติ เข้าใจในความไม่มี แต่มนุษย์พยายามทำให้มันมี สร้างโน่นนี่นั่น ขวยขวายเพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ โดยไม่สนใจว่าต้องทำร้ายใคร อำนาจ ความโลภ โกรธ หลง (ตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าเลย) อัตตาตัวตน ตัวกู ของกู ตายแล้วเอาไปไม่ได้สักอย่าง ชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา เราจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร ? ทำไปตามเหตุปัจจัย ทำไปตามหน้าที่ของเรา คิดดี พูดดี ทำดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ไม่เป็นภาระใคร สร้างความดีทิ้งไว้ก่อนตาย ทำเท่าที่เราทำได้ ไม่ต้องไปอยากมี อยากเป็นให้เกินตัว เข้าใจตัวเอง และเข้าใจคนอื่น เชื่อว่าทุกคนคงมีเป้าหมายในชีวิตของแต่ละคน คำพูดทั้งหมดที่กล่าวมานี้ เคยได้ยินจนชินกันหมดแล้ว อยู่ที่ว่าใครจะทำได้จริง ทุกคนพูดได้หมดแหละ แต่ทำได้หรือไม่ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง... อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้าใครอ่านบทความนี้แล้วงง ว่าเราเขียนอะไร ไม่รู้เรื่องเลย ต้องขออภัยไว้ล่วงหน้าใครชอบหนังแนวนี้ เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยากแนะนำให้ลองดู คุณอาจจะเข้าใจมากกว่านี้ หรืออาจจะเข้าใจมากกว่าเราก็เป็นได้ เราอยากให้มีการคอมเม้นท์ในบทความได้ จะได้ให้ผู้อ่านได้แลกเปลี่ยนมุมมอง ความคิดของแต่ละคน จะได้รู้ว่าผู้อ่านมีความคิดเห็นอย่างไร กับบทความที่เขียน และบทความที่เราเขียนเป็นอย่างไรบ้าง มีข้อบกพร่องตรงไหน เพื่อนำไปปรับปรุงและพัฒนาตัวเองในบทความอื่น ๆ ต่อไป หากว่าบทความนี้ใช้คำที่เข้าใจยาก อ่านแล้วงง ๆ เขียนวกไปวนมา น่าเบื่อ ไม่มีสาระ เนื้อเรื่องตกหล่น และข้อมูลผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้อ่านจะได้อะไรจากมุมมอง ความคิดที่แตกต่าง ในบทความนี้ไม่มากก็น้อยค่ะ...