มันต้มขิง เป็นเมนูสุขภาพที่แมวเหมี๊ยวชอบกินมาก เพราะตอนเด็กพ่อจะทำให้ทานบ่อยๆ เพราะทำง่าย วัตถุดิบน้อย แต่คุณค่าและโภชนาการมหาศาล พอดีแมวเหมี๊ยวไปเปิดเจอหนังสือเล่มหนึ่ง ชื่อ Herb For Health สมุนไพร รู้ไว้ไกลโรค ของคุณ รัตติยา นิลกลม ซึ่งมีตอนหนึ่งของหนังสือที่ผู้เขียน ได้พูดถึงเรื่องของ "มันต้มขิง" พออ่านแล้วคิดถึงตัวเองตอนเด็ก ในหนังสือก็จะเล่าว่า "อากาศเริ่มหนาว อาม่าจะทำมันต้มขิงให้กิน" พออ่านแล้วกลิ่นขิงลอยเข้าจมูก เพราะตอนเด็กแมวเหมี๊ยวอยู่บ้านที่เชียงใหม่ อากาศจะหนาว ยิ่งช่วงเดือนนี้ (ธ.ค.) ก็จะหนาวเป็นพิเศษ ถึงขั้นมือชา ปากชา เลยก็ว่าได้ แถมโรคแพ้อากาศก็กำเริบ น้ำมูกไหล จามตลอดวัน ทำให้อยากซดอะไรร้อนๆตลอดเวลา มันต้มขิงจึงเป็นของหวานที่สามารถกินได้ตลอดวัน ยิ่งร้อน ยิ่งสดชื่น เพราะถ้าเกิดคนขี้หนาวจะทำให้ หยิน (ความเย็น) กับหยาง (ความร้อน) ในร่างกายไม่ค่อยสมดุล เลยต้องหาอะไรมาปรับสมดุล ร่างกายให้อุ่นขึ้นจะต้องมีความเป็นหยาง (ข้อมูลอ้างอิง : หนังสือสมุนไพร รู้ไว้ไกลโรค) ก็คือ มันต้มขิงตามที่กล่าวมานี่แหละ ลองมาดูประโยชน์ของส่วนประกอบหลักของเมนูนี้กันว่าจะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายได้อย่างไรบ้าง เริ่มจากพระเอกคนที่ 1 มันเทศ : เป็นพืชที่รสหวาน เนื้อในก็มีหลากสีตามสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม ขาว แดง เหลือง ม่วง ราคาถูก กินง่าย มีเอนไซม์ที่เปลี่ยนแป้งเป็นน้ำตาล ยิ่งนำไปผ่านกระบวนการปรุงแล้วละก็ จะยิ่งส่งรสหวานออกมาเพิ่มความอร่อยให้เมนูนั้นๆ ที่เด่นๆคือ มันเทศมีวิตามินเอ ซึ่งวิตามินจะสำคัญมาก เพราะช่วยบำรุงสายตาและผิวพรรณ ยิ่งคนทำงานหน้าคอมหนักๆ นั่งห้องแอร์นานๆ อาจจะเจอปัญหาตาล้า ผิวแห้ง ซึ่งในมันเทศจะมีเบต้าแคโรทีนที่ทำให้ร่างกายเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ โดยเฉพาะในมันเทศสีเหลือง โดยการที่เรากินมันเทศ 100 กรัม ก็เพียงพอต่อการได้รับวิตามินเอที่ควรได้รับต่อวันแล้ว (ไม่ใช่ว่าอยากบำรุงจนกินเกินขนาดแบบนั้นก็ไม่ได้นะจ๊ะ) และที่สำคัญใครที่ท้องผูก เส้นใยอาหารและน้ำที่อยู่ในมันเทศ จะช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายได้ดี รวมถึงตอนนี้ยังมีการวิจัยคุณประโยชน์ของมันเทศอีกมากมาย ทั้งในเรื่องการรักษาโรคเบาหวาน การรักษาและป้องกันโรคมะเร็งโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงวัยที่หมดประจำเดือนอาจช่วยให้ร่างกายปรับฮอร์โมนเพศ ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของมะเร็ง แต่ถึงยังไงนี่คือสิ่งที่ต้องวิจัยแบบเจาะลึกอีกครั้ง แต่อย่างน้อยถ้าในทางการแพทย์พอเห็นแนวทาง ก็จะเป็นประโยชน์ในอนาคตได้ แต่ของดีบางทีก็มีข้อเสีย มันเทศที่อร่อยแบบนี้ แต่แฝงสารออกซาเลต ที่จะเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยง ที่จะเกิดนิ่วในไตได้ และยังเคยบมีประกาศจากกระทรวงสาธารณสุขว่า มันเทศเป็นหนึ่งในอาหารที่มีสารพิษบางชนิดตกค้างอยู่ อย่าเพิ่งตกใจจนคิดจะเลิกกินแต่เราก็ต้องทำตามคำแนะนำในการกินอย่างถูกต้อง การเลือกมันเทศ เลือกหัวที่แน่น สีเข้ม ผิวเรียบ ไม่เหี่ยว ตัวที่มีรูมีรากงอกออกมา เพราะมันเทศที่มีรูมีรอย จะส่งผลเรื่องรสชาติได้ การล้าง สำคัญสุด ต้องล้างให้สะอาดก่อนนำไปประกอบอาหารทุกครั้ง เพื่อชำระสารพิษที่ตกค้างออกไป การนำมาปรุง ไม่ควรปอกเปลือกมันเทศออกในตอนที่เรากำลังทำให้มันสุก เพราะสารอาหารที่อยู่ใกล้เปลือกจะหลุดออกไปด้วย ต้องรอให้สุกดีก่อนถึง่อยปอกเปลือกออกได้ การเก็บรักษา สำหรับใครที่เป็นสายซื้อของตุน ถ้าซื้อมันเทศมา ยังไม่ต้องล้างก่อนเก็บ เพราะจะทำให้เน่าง่าย อุณหภูมิที่เหมาะคือประมาณ 12-15 องศา แต่ไม่ควรเก็บไว้ในตู้เย็น เพราะจะทำให้เนื้อแข็งและเสียรสชาติ ถ้าได้ที่เก็บดีๆก็จะเก็บรักษาได้ถึง 1 เดือน (ลองดูตู้เก็บอาหาร หรือห้องที่ไม่ร้อนเกินก็ได้นะ) แต่ถ้าเกิดเก็บตามอุณหภูมิห้องก็จะอยู่ได้ประมาณ 1 สัปดาห์ (ข้อมูลอ้างอิง :pobpad.com) (ภาพประกอบมันเทศ : pixabay) พระเอกคนที่ 2 ขิง : สมุนไพรเผ็ดร้อน เด่นเรื่องรสชาติและกลิ่น คนชอบก็ชอบเลย ไม่ชอบก็ไม่เอาเลย เมารถเมาเรือขิงด้วยได้ และแก้อาการแพ้ท้องได้ แต่ก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้เช่นกัน สำหรับคนตั้งครรภ์ปรึกษาหมอ ก่อนเพื่อความสบายใจนะจ๊ะ และใครที่ท้องอืด อาหารไม่ย่อย เหมือนแมวเหมี๊ยวละก็ ขิงคือตัวช่วยบรรเทาอาการ ได้ดีมาก เพราะขิงมีฤทธิ์ร้อนนอกจากจะช่วยปรับสมดุลร่างกายตามที่เกริ่นข้างต้นแล้ว ยังช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ได้ด้วย มนุษย์ออฟฟิศที่ออกจากห้องประชุมมาหมาดๆ เจ้านายด่า ลูกค้าทวงงาน แก้งานไม่ทัน หรือแม้แต่นักเรียน นักศึกษาที่เครียดเรื่องเรียน เรื่องสอบ จนไมเกรนขึ้น มีการศึกษาแล้วว่าถ้าเราทานขิงในช่วงที่อาการปวดไมเกรนกำลังกำเริบ จะทำให้อาการปวดลดลง เพราะขิงจะช่วยยับยั้งฮอร์โมนที่เกี่ยวกับอาการอักเสบได้ ขิงเป็นสมุนไพรที่มีโซเดียมต่ำ ช่วยลดความดันโลหิตสูง ที่เป็นโรคยอดฮิตของคนมีอายุ ยังไม่พอมีการศึกษาอีกว่าขิงช่วยทำให้เซลล์มะเร็งในรังไข่ตายได้ เพราะตัวขิงจะไปกระตุ้นเอนไซม์ ชนิดที่ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และยังรักษากรดไหลย้อนโรคยอดฮิตของคนเมืองได้อีกด้วย รสเผ็ดร้อนของกรด ทำลายอาการกรดกำเริบได้ดีเยี่ยม! (ข้อมูลอ้างอิง : honestdocs.co) (ภาพประกอบขิง : pixabay) มาดูข้อควรระวังกันดีกว่า 1. อย่างที่บอกว่าถึงแม้ขิงจะช่วยในเรื่องของการแพ้ท้องได้ แต่อย่าลืมว่าคนที่ตั้งครรภ์ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน เพราะอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ 2. กินมากระวังเป็นร้อนใน อย่างที่บอกว่าขิงมีฤทธิ์ร้อน บางทีการที่เรารับประทานมากไป อาจทำให้เยื่อบุในช่องปากเกิดการอักเสบได้ (บางอย่างมากไปก้ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ได้ผล ทานแต่พอดีดีที่สุด) 3. เรื่องการส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด มีงานวิจัยในออสเตรเลียระบุว่า ขิงมีสรรพคุณต้านการแข็งตัวของเลือด มากกว่ายาแอสไพริน โดยสถาบันสุขภาพของออสเตรเลียได้ออกมาเตือนให้งดรับประทานขิงในขณะที่ใช้ยาละลายลิ่มเลือด เพราะจะเกิดความเสี่ยงของอาการห้อเลือด หรือเลือดออกได้ ฉะนั้นใครที่มีอาการเลือดออกผิดปกติ หรือกำลังใช้ยาละลายลิ่มเลือด หลีกเลี่ยงขิงหน่อยนะ (ข้อมูลอ้างอิง : health.kapook) (ภาพประกอบขิง : pixabay) เห็นแล้วไหมว่า สรรพคุณของพระเอกทั้งสอง อุดมไปด้วยคุณค่ามากแค่ไหน ยิ่งเรานำวัตถุดิบทั้งสองมาปรุงเป็นเมนู ง่ายๆแต่รักสุขภาพแล้วละก็ ยิ่งทวีคุณค่าเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ก็อย่าลืมทุกอย่างมีคุณและโทษผสมกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกกิน เลือกศึกษามากน้อยแค่ไหน (ภาพมันต้มขิง :mantahealthlife.blogspot.com/2014/11/sweet-potato-boiled-ginger-nourishing.html) ถึงแม้ตอนนี้แมวเหมี๊ยวจะมาอยู่ต่างถิ่นจะไม่ได้สัมผัสอากาศหนาวเช่นแต่ก่อน แต่เมนูมันต้มขิงก็ยังถือเป็นเมนูที่กินได้ โดยไม่จำเป็นต้องรอให้เข้าหน้าหนาว แค่นั่งทำงานในห้องแอร์ไปสักพัก ตัวจะเริ่มเย็นก็กินมันต้มขิงแบบฟินๆได้แล้ว วิธีทำก็ง่ายมาก มันเทศปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้น แช่น้ำเกลือ ตั้งน้ำ ใส่ขิงที่ปอกแล้วหั่นลงไป รอน้ำเปลี่ยนเป็นสีน้ำขิงใส่มันเทศ ตั้งไฟอ่อน เติมน้ำตาล (อย่าหวานมากนะ) ต้มไฟกลางเรื่อยๆจนสุก เมนูนี้นอกจากจะอิ่มท้องแล้ว ยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายได้ด้วย คนเป็นหวัดได้มันต้มขิงสักชามนี่ชะงักเลย แต่อย่าลืมบริโภคน้อยแต่พอดีนะ ^^ แหล่งอ้างอิงข้อมูล https://www.pobpad.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%82%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2 https://www.honestdocs.co/benefits-of-ginger https://health.kapook.com/view95236.html