อื่นๆ

ยามเฝ้าผี

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ
ยามเฝ้าผี

ผมชื่อชัยครับ ตอนปี 2554 น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพ บ้านผมอยู่แถวสะพานใหม่ เลยเป็นเขตแรก ๆ เลยที่น้ำท่วม ไม่ได้ตั้งหลัก ไม่ทันได้เตรียมตัว เพียงชั่วข้ามคืนน้ำก็ขึ้นมาถึงชั้นสองของบ้าน ผมจึงชวนเมียผม พากันไปขอความช่วยเหลือจากศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ที่สนามกีฬาหัวหมาก ในคืนนั้น ผม เมียผมจุงและลูกชาย 7 ขวบ พากันขึ้นรถ ทหารเพื่อไปยังศูนย์พักพิง

รายได้หลักครอบครัวของเราได้มาจากการที่ผมขับแท็กซี่ ส่วนเมียผมจะทำของหวานขายหน้าบ้านพร้อมกับเลี้ยงลูกไปด้วย แต่เมื่อน้ำท่วมบ้านแล้ว ผมจึงหมดหนทางที่จะทำอาชีพเดิม ผมเลยมองหาอาชีพอื่น อย่างน้อยก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ

ในศูนย์พักพิง ผมและครอบครัว อยู่ในศูนย์พักพิงได้ไม่ถึงสัปดาห์ ก็มีบริษัทรักษาความปลอดภัยแห่งหนึ่ง เข้ามาหาคนไปทำงานเป็นรปภ โดยมีค่าแรงถึงวันละ 500 บาท อยู่ในนี้เฉย ๆ บาทเดียวก็ไม่ได้ ถึงรายได้จะไม่เท่าที่ผมเคยได้จากการขับรถ แต่อย่างน้อยก็มีเงินให้ลูกและเมียพอได้ใช้ ผมคิดแบบนี้ จึงไปสมัครโดยไม่ลังเล

Advertisement

Advertisement

ถึงจะไม่เคยเป็นรปภมาก่อน  แต่ก็คิดว่าไม่ยาก หลังจากที่ผมสมัครงานได้หนึ่งวัน ผมก็ได้เริ่มงานในวันถัดไป โดยมีรถของทางบริษัทมารับเพื่อไปลงประจำตามจุดที่เราต้องรักษาความปลอดภัย วันแรกของการเป็น รปภ หรือเรียกง่าย ๆ ว่ายามนั้น ผมได้ประจำที่โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์แห่งหนึ่ง แถว ๆถนนนวมินทร์ เนื่องจากโรงงานนี้ในช่วงกลางวัน มีการเปิดเป็นโชว์รูมด้วย และมีทำเลติดถนนใหญ่ ทำให้บรรยากาศไม่น่ากลัวเท่าไหร่ “จิบ ๆ” ผมบอกกับตัวเอง 12 ชั่วโมงของการเป็นยาม ผมไม่ง่วงหรือแอบงีบเลย “มันก็ไม่ได้ลำบากเท่าไหร่นี้” ผมคิด

ผมอยู่ที่ โรงงานเฟอร์นิเจอร์ได้ ประมาณ 1 สัปดาห์ หัวหน้าผมก็ให้เปลี่ยนจุดที่ทำงาน และเขาก็มาอยุ่แทนผมที่โรงงานเฟอร์นิเจอร์

อาคาร์พาณิชย์ สี่ชั้น หน้ากว้างหนึ่งคูหา อยู่ห่างจากถนนรามคำแหงแค่ 500 เมตร แถมทางเข้าซอยยังมี 7-11 ทุกอย่างดูดีกว่า โรงงานเฟอร์นิเจอร์เป็นไหน ๆแต่ผมไม่เข้าใจว่า ทำไมไอ้คนเก่ามันถึงไม่ทำต่อ หน้าที่ผมที่ต้องทำคือ ในช่วงเย็นที่ฟ้าเริ่มมืด ผมจะต้องขึ้นไปเปิดไฟโดยการยกคัทเอาท์ขึ้น ซึ่งอยู่บนชั้นสองของอาคาร ผมทำงานที่อาคารแห่งนี้มาเกือบหนึ่งเดือน จะเจอเจ้าของตึกไม่ถึง5ครั้ง ผมเรียกว่าเถ้าแก่ เถ้าแก่ผมจริงๆแล้วอายุมากกว่าผมไม่กี่ปี แต่แกใจดีมาทุกครั้งจะเอาพวกกับข้าว เอ็มร้อย กาแฟกระป๋องมาให้ผม ทุกครั้งที่เถ้าแก่มาจะขึ้นไปบนตีกไม่เกิน30นาทีแล้วก็กลับ  ก่อนที่แกจะกลับทุกครั้ง แกจะหันมาแล้วบอกผมทุกครั้งว่า “ น้า ๆฝากตึกด้วยนะ”

Advertisement

Advertisement

ตอนค่ำขึ้นชั้น 2เพื่อยกคัทเอาท์ไฟขึ้น ตอนเช้าก่อนออกเวรดึงคัทเอาท์ลง นี่คืองานประจำที่ผมต้องทำ จากนั้นผมก็จะมานั่งเก้าอี้พลาสติกที่หน้าประตูเหล็ก คืนนั้นทุกอย่างก็เป็นปกติแบบที่ผมทำมาตลอดเดือนกว่า จนถึงเที่ยงคืนผมรู้สึกง่วงมาก วันนี้อากาศเย็นกว่าทุกคืนที่ผ่านมา ช่วงเย็นตอนผมมาทำงานจนถึงตอนเช้าตอนผมกลับบ้าน ผมไม่เคยเห็นหมาแถวนั้นแม้แต่ตัวเดียว แต่ทำไมคืนนี้เสียงหมาเห่าและหอน เหมือนกับว่ามันอยู่แถวนี้เกือบ 10-20 ตัว ผมไม่รู้ว่าเสียงมาจากไหน ยิ่งพยายามหาต้นเสียง เสียงหอนของหมาก็ดังขึ้น ๆ เหมือนเสียงค่อยดังจากจุดไกลตัวที่ผมอยู่ และมาดังที่สุดเอาตรงที่ผมอยู่ มันแปลกมาก ที่เสียงหมาหอนดังมากเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังมองไม่เห็นต้นต่อของเสียงเลยสักตัว อากาศเย็นอยู่แล้วแถมยังมีลมมาอีก ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก มองออกไปทางถนนใหญ่ก็จะเห็นแสงไฟของ 7-11 เลยทำให้ความกลัวของผมมีไม่มากเท่าไหร่ ตอนนี้ข้างหูของผมไม่ได้มีแค่เสียงหมาห่อน แต่สิ่งที่เพิ่มมาคือเสียงของลมที่เสียดสีกับใบไม้ กิ่งไม้ ซึ่งเสียงออกไปโทนแหลม และยังมีเสียงลมที่กระทบกับม่านประตูเหล็กอีก จากไม่กลัวตอนนี้ชักเริ่มกลัว เพราะผมรู้สึกหน้าชา ท้ายทอยชาอย่างบอกไม่ถูก ผมเดินไปเดินมาที่หน้าทางเข้าตึกกำลังจะทรุดตัวนั่ง ไฟฟ้าทั้งตึกก็ดับ ผมไม่มีไฟฉายเพราะจุดที่ผมอยุ่ไม่ได้โบกรถเข้าที่จอด หัวหน้าเลยไม่ได้ทิ้งไฟฉายไว้ให้ใช้ ตอนนี้แสงสว่างที่ผมมีคือ ไฟจากหน้าจอมือถือ ผมคิดว่าคัทเอาท์คงดีดตัวลงเอง เพราะว่าไฟจากร้านเซเว่นยังมีอยู่ มันดับแค่ตึกที่ผมเฝ้า แค่ขึ้นไปดึงคัทเอาท์ขึ้นไฟก็ติด ผมคิดได้แบบนั้นก็เลยตัดสินใจ ใช้มือถือตัวเองเป็นตัวส่องสว่างเพื่อหาทางขึ้นไปชั้น2ของตึก ยิ่งรีบก็เหมือนยิ่งช้า เพราะผมสะดุดหลายครั้งตอนที่ขึ้นบันไดผมจึงค่อยก้าว ผมกึ่งก้าวกึ่งคลานอยู่พอสมควรจนผมคิดว่า ผมคงเลยชั้น2 มาแล้ว เพราะผมมองไม่เห็นกล่องคัทเอาท์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นสีแดง ปกติจะอยู่ชั้น2 จนกระทั้งไปต่อไม่ได้ ถึงได้รู้ตัวว่าตอนนี้อยู่ชั้นบนสุดของตึก เพราะผมคลานจนมาเจอกับประตูไปดาดฟ้า

Advertisement

Advertisement

ไม่รู้ว่าผมเผลอหลับไปตอนไหน มาตื่นอีกทีก็พบว่าตัวเองฟุบตรงบันไดซีบนสุดของชั้น4 แสงอาทิตย์ส่องพาดห้อง ตอนนี้ถึงได้เห็นทุกอย่างชัดเจน ชั้น4ของตึกที่ผมเข้าใจว่าอยู่ชั้น 2 ตอนนี้มีโลงศพตั้งหราอยู่กลางห้อง พร้อมด้วยรูปถ่ายของผู้หญิงสูงวัย บริเวณหน้านั้นมี สำรับกับข้าวคาวหวานตั้งอยู่ร่วมถึงของเซ่นไหว้บรรพบุรุษแบบคนจีนตั้งอยู่มากกมาย ขนผมลุกตอนกลางวันแสกๆ ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า ระหว่างทางจากชั้น 4 มาถึงชั้น1 ตรงประตูทางเข้า ว่าผมล้มแล้วลุกกี่ครั้ง ผมมาหยุดพักให้ตัวเองหายเหนื่อยเพราะวิ่งลงมาด้วยความเร็วอย่างไม่คิดชีวิต

“อ้าวน้า ยังไม่กลับเหรอ นี่มันเจ็ดโมงกว่าแล้วนะ” ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเถ้าแก่ผมจอดรถตอนไหน หันไปตามเสียงถึงรู้ว่าแกมา ผมเล่าให้เถ้าแก่ผมฟังว่าตลอดทั้งคืนผมเจออะไรมาบ้าง “ถ้าบอกก่อน น้าก็จะไม่มาเฝ้าตึกอ่ะดิ” ในโลงนั้น คือแม่ผมเอง แกลื้นล้มตรงชั้นดาดฟ้า แล้วไปเสียที่โรงบาล ตอนนั้นผมอยู่ที่อเมริกากลับมาไม่ทัน เลยขอเอาศพไว้ 100 วันไว้ที่ตึกก่อนไปฝั่งที่ชลบุรี จังหวะเดียวกับที่น้ำท่วมด้วย “น้ากลัวป่าว คงต้องหายามใหม่อีก”

หลังจากวันนั้นแล้ว ผมก็ยังคงไปเฝ้ายามที่นั้นต่ออีกเกือบเดือน จนระดับน้ำที่บ้านผมอยู่ในภาวะปกติผมถึงออกจากรปภ.ที่นั้น แต่ก็ยังคงติดต่อกับเถ่าแก่มาจนถึงทุกวันนี้ ..นี้่แหละคับประสบการ์ณการเป็นยามของผม

คัดลอกลิงค์
คัดลอกลิงค์
แจ้งตรวจสอบ

ความคิดเห็น

กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อทำการคอมเม้นต์