ย้อนกลับไปในปี 2542 ตอนที่ยังมี Channel V ฉันได้เห็น MV ของศิลปินหญิงคนหนึ่ง ในภาพประหนึ่งนางกาลีประทับร่าง เสียงโหยไห้หวน และฟังไม่ออกเลยสักพยางค์ว่ากำลังร้องอะไร แต่นั่นกลับฉุดใจให้ติดตรึงอยู่ตรงนั้น จนท้ายเพลงเพื่อจะได้รู้ว่า เธอชื่อ ริค วชิรปิลันธ์ เพลงนั้นชื่อเพลง ปฐมฉันเคยดูการแสดงสดของริคสองครั้ง ครั้งแรกในงาน Fat Festival ที่จำปีไม่ได้ และอีกครั้งในงานของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร เมื่อสองปีก่อนเสน่ห์ของหญิงสาวผู้นี้อยู่ที่เอกลักษณ์โหยไห้เต็มไปด้วยภาวะอารมณ์ และดึงเอาภาวะภายในของคนฟังออกมา ความเจ็บปวดเจ้าเอยที่เคยแอบซ่อนไว้แต่ครั้งเก่าก่อนกลับหลั่งไหลออกมาราวต้องมนต์ ปลายปี 2562 ริค วชิรปิลันธ์ ออกอัลบั้มใหม่ ในชื่อ Mandala Marionette777 เป็นอัลบั้มที่ 4 (ไม่นับอัลบั้มเพลงคัพเวอร์และเพลงประกอบ) ที่จริงการนับอัลบั้มของริคก็มีการถกเถียงกันอยู่แม้เจ้าตัวเองก็ยอมรับ และนับอัลบั้มใหม่นี้ว่าอัลบั้มที่ 7 หลายปีผันผ่าน วันนี้ริคยังคงมีเสียงที่ดึงหัวใจให้ตราตรึง เพลงที่เต็มด้วยเสน่ห์แห่งเสียงร้อง ดนตรี และลีลาที่เป็นเอกลักษณ์ ผสานด้วยเครื่องดนตรีหลากหลาย รวมทั้งเครื่องดนตรีกลิ่นอินเดีย Mandala Marionette777 เปิดอัลบั้มด้วยเพลง “โลกีย์สรวง” (Paradise Lost) ด้วยท่วงทำนององการขับเสภา “เขตเอย เขตขนาน เขตมารโลกีย์สรวง” หลายต่อหลายครั้งในทุกอัลบั้มเธอมักจะกล่าวถึงบาปใคร่ราคะโลกีย์อันเป็นหนทางแห่งมนุษย์ และในอัลบั้มนี้ก็เช่นกัน ดนตรีท่วงทำนองกลิ่นอินเดียผสมกับความเป็นร็อค จังหวะระบัดระบำสะบัดและเสียงสูงต่ำราวเครื่องดินตรีอีกชิ้นใน “ราชินีแมงป่อง” "อัศรา เอย กลืนอุษาพราย ราตรีสลักวงคราส ราวเดือนลับร้าวโดยแยบคาย ระย่อกล่อมมารเยือนใกล้ โฉมหน้าเปล่าเบาในความตาย ใจเราอาจเป็นเช่นทราย ในอาจเต็มเหมือนทราย........ ใจฉัน ว่างเปล่า ใจนี้ ว่างเปล่า โดดเดี่ยวดาย ดั่ง ทรายในพายุ โดดเดี่ยว โหดร้ายดั่งพายุ" แม้ถึงเป็นเพลงจังหวะสนุกสนาน กระนั้นกลับดึงเอาความโดดเดี่ยวเดียวดายของฉันออกมาร่ายรำตรงหน้า มนุษย์โดดเดี่ยว และต้องยอมรับในความจริงนี้ เหมือนริคจะบอกกับฉันแบบนั้น เต้นรำด้วยกันเถิด ความโดดเดี่ยวของเราทั้งมวล “หมื่นเหมันต์” เพลงต่อมาที่จังหวะเร่งเร้ากว่าเดิม แกว่งกาย สะบัดหัว เหวี่ยงร่างเหมือเมามายในเสียงเพลง"หมื่นพันครั้ง ประทับลงในวงดาบ เพียงครั้งรวดร้าวปานกำมะหยี่ หมื่นเหมันต์ร้อยลิขิต ในเผลอ ใจไปในคืนฟ้านั้นหมื่นพันครั้ง อาจทดใจความว่างเปล่าเพียงครั้งหากย้อนคืน ในอดีต จะไม่มีวันให้ใคร มาสั่นไหว มาหวั่นไหวไม่อ่อนไหว กับภาพมายาในลมหนาว"เคยมั้ย ที่เราเริงร่ายระเริงระบำในขณะที่น้ำตาพร่าพราย ใช่---น้ำตาร่วง และสะอึกสะอื้น เพลงนี้ราวควักเอาหัวใจเก่าก่อนขึ้นมาคลี่ดูความรวดร้าว เป็นเพลงที่ชอบที่สุดในอัลบั้มนี้“อัมมาน-วิหารดอกฝิ่น” น้ำเสียงของเพลงคือความเจ็บปวดแห่งหัวใจ ที่เนื้อเพลงมีการขยายคำอธิบายไว้ว่า ดอกฝิ่นเป็นดอกป๊อบปี้พันธุ์หนึ่งที่ดื่มเลือดความตายเสมอ ในความหมายคือ ---ในสงคราม ดอกไม้พันธุ์นี้มักงอกจากศพและเลือด –เติบโตออกดอกจากเลือดความตาย หากเป็นวิหารดอกฝิ่น คิดดูว่าจะเจ็บปวดมากมายเพียงใด"ลิ่มเลือดผูกพันธนาการ รอยรักอันเปลือยเปล่าเพียงลาองศาแห่งใจ ทิ้งรอยวิถีภวังค์ดอกฝิ่นชั่วกาลเงาใจที่มี เฆี่ยนร้ายลวงใน จังหวะชีวิตความทุกข์เที่ยงแท้ แผลใจที่แพ้ในความสุข" “พิราบดำ” ร็อคเร่งจังหวะด้วยกลิ่นดนตรีอินเดีย ตวัดขา ตบเท้าแรงๆ และเสียงแบบริคที่คุ้นเคย ละทิ้งการออกเสียงภาษาไทยออกไปด้วยท่วงทำนองดนตรี"ปฏิเสธ สลาย เขตข่ายส่วนฟ้ากับดักแห่งใจ ฉันก้าวผ่านเลยไป สุดทางสีดำ (พิราบดำ)ปัจเจกแห่งใคร ฉันก้าวผ่านเลยใจ สู่กายสีดำ"เป็นเพลงที่ครบทุกอย่างของริค วชิรปิลันธ์ ที่เรารู้จัก จังหวะ เสียง ตัวตน ความเหวี่ยงและวนว่ายในดนตรีหนักหน่วง การตวัดเสียงร้องขึ้นสูง และเสียงสูงประสาน สนุก มีพลัง และมีเสน่ห์ยั่วยวน สำหรับ “เฟืองวงแหวน” นั้นไม่มีเนื้อร้อง เป็นเสียงของริค ครวญเป็นท่วงทำนอง สำหรับดนตรีของเพลงเฟืองวงแหวนเรียกได้ว่าเป็นเมทัลหนักๆ เลย ปิดท้ายด้วย Dark Princess ซึ่งไม่มีเนื้อเรื้องอีกเช่นกัน ดนตรีออกจะเวิร์ลดมิวสิค ด้วยเครื่องดีด กลอง จังหวะจะโคนชวนล่องไหลไปกับเสียงฮึมร่ายท่วงทำนอง ต่ำสูงหวามไหวถวายร่างลงนอนแทบพื้น ริค วชิรปิลันธ์ ยังคงเป็นริคคนเดิมที่ตรึงฉันไว้ โลกของฉันหยุดหมุน จ่อมตัวจมลงในเสียงเพลงอันเสียงเครื่องดนตรีกับเสียงร้องคลอเป็นหนึ่งเดียว ว่ายลงในความเจ็บปวดเก่าก่อน ดื่มกินความหวานแห่งชะตาที่ทุกข์ตรม ร่ำไห้กับภาพผ่านที่หลงลืมไปแล้ว และเพื่อจะปาดน้ำตา และพบว่า ฉันยังหายใจภาพถ่ายทั้งหมดโดยภาพที่ 1 ริค วชิรปิลันธ์ ในงานจากป่าสู่เมือง มูลนิธิสืบนาคะเสถียร ภาพโดย ลิปสติกสีลิลิธภาพอัลบั้ม Mandala Marionette777 ภาพโดย ลิปสติกสีลิลิธ