ภาพยนตร์สำหรับหลายๆคนมันคงเป็นสื่อบันเทิงชนิดหนึ่งที่สร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิง หรือเพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตในรูปแบบที่แตกต่างออกไป รวมถึงพาคนดูไปลองใช้ชีวิตและเข้าใจความรู้สึกตัวละครที่ต้องพบเจอสถานการณต่างๆ แต่สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้แล้วต้องบอกเลยว่ามันเป็นมากกว่าเพียงแค่สื่อสำหรับคนดู แต่มันเป็นสิ่งที่ Shia Labeouf ได้สร้างขึ้นในกระบวนการบำบัด หลังจากที่เขาถูกจับในข้อหาฝ่าฝืาฝืนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขัดขืนการจับกุม และมึนเมาในที่สาธราณะ ช่วงปี 2017 โดยทางศาลนั้นให้เลือกระหว่างจำคุกหรือเข้ารับการบำบัด ท้ายสุดแล้วเขาเลือกที่จะเข้ารับการบำบัดและรู้ถึงการที่ตัวเองกำลังประสบปัญหา PTSD (Post Traumatic Stress Disorder สภาวะป่วยทางจิตใจเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างร้ายแรง) ที่เกิดจากความเครียดสะสมในวัยเด็ก จากการทำงาน รวมถึงแรงกดดันจากพ่อของเขา ทำให้ Shia ได้เขียนขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเขาในการบำบัดและเผชิญหน้ากับสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตโดยการบอกเล่าเรื่องราวของมันออกมาผ่าน ภาพยนตร์ Honey Boy ซึ่งเปรียบเสมือนกับการเยียวยาสภาพจิตใจเขาไปในตัว Honey Boy อาจจะไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนดูส่วนมากในไทย เพราะตัวหนังนั้นเข้าแค่ที่ House Samyan เมื่อช่วงพฤศจิกายนปีที่แล้ว ซึ่งมันเป็นเพียงแค่หนังเล็กๆที่คุณภาพดีมากๆ แต่กลับโดนกลบจากกระแสของหนังตลาดเรื่องอื่นๆมากมาย แต่ในต่างประเทศนั้นเรื่องนี้ได้รับรางวัลมากมายไม่ว่าจะเป็นในด้านของการเขียนบท นักแสดงนำ และผู้กำกับ ถ้าถามว่าทำไมผมถึงตัดสินใจที่จะเขียนเรื่องนี้นั้นก็คงเป็นเพราะเห็นภาพยนตร์เรื่องนี้อีกครั้งทาง True ID และผมคิดว่ามันคงเป็นโอกาสนึงที่ทุกคนจะได้ลองสัมผัสประสบการณ์ที่หาไม่ได้บ่อยๆจากภาพยนตร์ ลองเปิดใจ และเรียนรู้เรื่องราวชีวิตของ Shia ไปพร้อมกันนะครับ (บทความนี้จะมีการพูดถึงเหตุการณ์บางส่วนที่เกิดขึ้นในภาพยนตร์)เรื่องย่อ ภาพยนตร์เล่าเรื่องของนักแสดงเด็ก Otis (ภาพแทนตัวละครของ Shia ในวัยเด็ก รับบทโดย Noah Jupe) ที่เรียกได้ว่ากำลังเป็นดาวรุ่งในวงการภาพยนตร์ ซึ่งเขานั้นอาศัพอยู่กับพ่อ James Lort (ภาพแทนตัวละคร พ่อในชีวิตจริงของ Shia รับบทโดยตัว Shia Labeouf เอง) ที่เคยทำงานเป็นนักแสดงตัวตลก ในโมเต็ลเล็กๆ ซึ่งพ่อเขานั้นก็ดูเหมือนจะไม่อยู่สภาพในการเลี้ยงดูบุตรสักเท่าไหร่ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านการใช้ความรุนแรงและอาการติดเหล้า โดยเรื่องราวนี้จะพาไปสำรวจเรื่องที่เคยเกิดขึ้นจริงๆในวัยเด็กของ Shis Labeouf ในตีแผ่ความสัมพันธ์ของเขากับพ่อรีวิว ความสัมพันธ์ที่แสนจะ Toxic คงปฎิเสธไม่ได้ว่าการทำ James ต้องการเลี้ยงดู Otis นั้นส่วนนึงเป็นเพราะเงินที่ Otis ผลิตได้จากการเป็นนักแสดงที่กำลังโด่งดังมากๆ ถึงแม้ว่า James จะรู้สึกแย่หรือละอายอย่างไรก็ตาม ในขณะที่เด็กอย่าง Otis นั้นก็ยังต้องการพ่อแต่เขาก็เข้าใจดีว่าท้ายที่สุดแล้วมันก็อาจจะมาจบลงที่จำนวนเงินที่เขาสามารถจ่ายพ่อได้ จนเขาพูดออกมาว่า "ํYou wouldn't be here if I didn't pay you, ถ้าผมไม่จ่ายเงินพ่อก็คงไม่มาอยู่ที่นี่" ในทางกลับกันหนังก็ได้แสดงให้เห็นถึงอีกแง่มุมอีกด้านของ James แง่มุมความรักที่เขามีให้กลับลูก พร้อมทั้งยังพยายามสร้างแรงผลักดันให้ลูกเขาได้ดีในด้านนี้จริงๆ เพราะตัวเขาเองนั้นไม่สามารถทำมันได้ในอาชีพนักแสดงตัวตลก เขาพูดเสมอว่าถึงแม้ว่าแม่ Otis จะไปหางานประจำทำเพราะเชื่อว่าเส้นทางดาราของลูกจะไม่รอด แต่เขาเชื่อเสมอว่าลูกเขาทำมันได้ รวมไปถึงความต้องการที่จะพิสูจน์ตนเองว่าสามารถเป็นพ่อที่ดีได้ จนท้ายที่สุดแล้วสิ่งเหล่านี้มันแปรเปลี่ยนเป็นแรงกดดันที่เกินเหตุสำหรับเด็กวัยแค่ 12 ปี และยังมีความรุนแรงมาเกี่ยวข้องเมื่อ Otis นั้นดูจะสนิทกับ Tom พ่อของเพื่อนสนิททำให้ James รู้สึกว่าเขาเหมือนโดนตบหน้าว่าเป็นผู้ใหญ่ที่เลี้ยงดูลูกไม่ได้ มันเลยเกิดเป็นความสัมพันธ์แบบ รัก-เกลียด ระหว่างพ่อลูกคู่นี้การเขียนบทแบบไร้ทิฐิของ Shia หลังจากดูเรื่องนี้จบต้องยอมรับเลยว่า Shia เขียนบทภาพยนตร์ได้แบบไร้อีโก้ใดๆ และพยายามไม่ป้ายสีว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตเขานั้นเป็นผลงพวงจากการเลี้ยงดูที่เขาได้รับในวัยเด็กถึงแม้ว่าจะจริงแค่ไหนก็ตาม ตัวเขาถูกสปอยล์ตั้งแต่เด็ก แต่ในหนังเขากลับพูดว่า พ่อของเขาไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เขาดื่มเหล้า แต่พ่อเขาเป็นแรงผลักดันให้เขาทำงาน ซึ่งมันเป็นอะไรที่งดงามมากๆสำหรับชายคนนึงที่จะพูดออกมาได้เมื่อเรารู้ว่าเขาเจออะไรมาบ้าง มากไปกว่านั้นคือตั้งแต่ช่วงวัยรุ่นเวลาเขาพูดเรื่องราวที่พ่อเขาเคยทำกับเขาในรายการสัมภาษณ์รายการหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรหรือคนดูในห้องส่งกลับหัวเราะเยาะทั้งที่ความจริงแล้วมันเจ็บปวดมากๆ การเขียนบทแบบนี้นั้นผมมองว่าเป็นอะไรที่ซื่อสัตย์แบบไร้ทิฐิต่อพ่อเขามากๆ เพราะแสดงให้เห็นถึงมุมองทั้งสองด้าน และยังเป็นการบอกออกมาอีกว่าเรื่องทั้งหมดที่เขาเคยพูดไว้ตอนนั้นเป็นเรื่อจริงแต่ไม่มีใครเชื่อ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นส่วนนึงที่ทำให้เขาโตมาแบบนี้ สรุปแล้วนี่เป็นภาพยนตร์ที่เรียกได้ว่าเป็นกึ่งอัตตาชีวประวัติและการเดินทางในวัยเด็กตลอดจนช่วงวัยรุ่นของ Shia Labeouf ที่งดงามมากๆ ถึงแม้ว่าเขาจะผ่านแรงกดดันอะไรมามากมาย แต่เขาก็ยอมรับในด้านตรงนี้รวมถึงยังยกย่องพ่อของเขาอีกว่าเป็นนักสู้ ไม่ป้ายความผิดทั้งหมดให้กับคนเป็นพ่อ นี่ถือว่าเป็นการเติบโตขึ้นอีกขั้นของ Shia และเป็นเครื่องมือพิสูจน์ว่านี่คงเป็นการเริ่มต้นการเดินทางครั้งใหม่ในวงการบันเทิงของเขา เรื่องของการแสดงนี่ผมไม่รู้จะติดตรงไหนเลยเพราะน้อง Noah Jupe เล่นได้ดีมาก เคมีเข้ากับ Shia มากๆ รวมถึงตัว Shia เองยังถ่ายทอดตัวละครของคนเป็นพ่อออกมาได้อย่างสวยงาม ถ้าหาใครพลาดที่จะรับชมเรื่องนี้ในโรงภาพยนตร์ ตอนนี้สามารถรับชมได้แล้วทาง True IDขอบคุณรูปภาพทั้งหมดจาก True ID และ IMDBเครดิตรูปหน้าปก: รูปที่ 1/ รูปที่ 2ภาพประกอบที่ 1/ ภาพประกอบที่ 2/ ภาพประกอบที่ 3/ ภาพประกอบที่ 4/ ภาพประกอบที่ 5