สวัสดีค่าาา พบกับโลลิอีกแล้วนะคะ ^^ ช่วงนี้ชีวิตเพื่อนๆ เป็นอย่างไรกันบ้างเอ่ยยย หลังจากหยุดอยู่บ้านไปนานเพราะสถานการณ์ COVID-19 เชื่อว่าหลายคนคงชอบเพราะมีเวลาให้ทำอะไรได้มากขึ้น แต่ก็มีคนจำนวนมากไม่แพ้กันที่รู้สึกเบื่อแต่ไม่เป็นไรค่ะ! ^^ เพราะวันนี้โลลิก็นำบทความรีวิวหนังมาเสริฟเพื่อนๆ อีกตามเคย ให้เพื่อนๆ ได้อ่านกันจะได้ไม่เบื่อเนอะ ><~โลลิเชื่อว่าคงไม่มีใครไม่รู้จักอนิเมะชื่อดังอย่าง Death Note ที่เคยถูกนำมาสร้างเป็นหนังในภาคคนแสดงมาก่อนใช่ไหมคะ ต่อให้ไม่เคยดูก็ต้องเคยได้ยินผ่านๆ หูมาบ้างแหละ จนเมื่อปี 2017 หนังเรื่อง Death Note ก็ถูกนำมารีเมคใหม่ในเวอร์ชั่นของ Hollywood ที่มีฉายใน Netflix โดยเนื้อเรื่องถูกเปลี่ยนใหม่หมดแต่ยังคงแก่นของเนื้อเรื่องเดิมไว้อยู่ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ฟังดูน่าตื่นเต้นมากๆ และมันควรเป็นอะไรที่ต้องปังมากๆ เช่นกัน แต่ทำไมสุดท้ายแล้วมันดันพังเสียอย่างนั้นล่ะ วันนี้โลลิจะมาเผยเหตุผล (ในมุมมองส่วนตัว) ที่ทำให้ Death Note Versi Hollywood ไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรกันค่ะ (แต่ขอบอกก่อนนะคะว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นเท่านั้น)ฉากเปิดเรื่องไม่ดึงดูดความรู้สึกผู้ชมเท่าภาคเก่าฉากเปิดเรื่องในภาคของ Netflix นั้น ดำเนินไปในแนวเส้นตรง ก็คือ เริ่มต้นด้วยไลท์นั่งเงียบๆ อยู่คนเดียวแล้วสมุด Death Note ก็ตกลงมาอยู่ข้างไลท์เลยเหมือนจงใจให้ไลท์เห็นแบบสุดๆ แตกต่างจากญี่ปุ่นที่ฉากเปิดเรื่องดำเนินไปแบบให้เห็นถึงเหตุการณ์ที่ไลท์เขียนชื่อโจร ฆาตรกรจนพวกเขาตายไปทีละคนก่อน ซึ่งมันดึงดูดความสนใจคนดูมากทีเดียว เพราะทำให้คนดูเกิดความสงสัยและอยากดูต่อ จากนั้นค่อยกล่าวไปถึงต้นเหตุการณ์ที่นำพาให้ไลท์ไปเจอสมุดโน๊ตและตัดสินใจลงมือฆ่าคนไปหลายคน นอกจากนี้ ยังรวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไลท์ในภาคญี่ปุ่นเกลียดชังคนเลวก็ยังดูมีน้ำหนักและดึงอารมณ์มากกว่าอีกด้วย นั่นคือ ไลท์เห็นถึงความไม่ยุติธรรมของกฏหมายที่เป็นช่องโหว่จนทำให้คนชั่วหลายคนรอดพ้นกฏหมายไปได้ เขาจึงหมดศรัทธาด้านกฏหมายไป ซึ่งสำหรับโลลิแล้วถือว่าเป็นการผูกที่มาที่ไปได้ดีมากทีเดียว ในขณะที่ภาครีเมค ได้เชื่อมโยงสาเหตุคือ ไลท์ได้เห็นถึงความไม่ยุติธรรมในโรงเรียนที่มีเด็กอัธพาลกลั่นแกล้งคนอื่นเต็มไปหมด ทำให้เขารู้สึกต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่าง เอาจริงๆ มันก็ถือว่าสมเหตุสมผลดีค่ะ เพียงแต่ว่าแนวเด็กอันธพาลในโรงเรียนมันมีเยอะมากในหนังตะวันตกจนรู้สึกว่าไม่มีอะไรแปลกใหม่ และเมื่อเทียบกับภาคญี่ปุ่นแล้ว ต้นฉบับเขาทำมาดีกว่าเท่านั้นเอง การเปลี่ยนรายละเอียดบางอย่างใน Character ของตัวละครสำหรับโลลิแล้ว โลลิคิดว่าต้นฉบับเขาก็ได้วาง Character ของตัวละครเด่นๆ อย่างไลท์กับแอลได้ออกมาอย่างมีเอกลักษณ์และเชือดเฉือนกันแบบสุดๆ อยู่แล้ว คือฉลาดทั้งคู่ แต่สำหรับในภาค Hollywood นั้น ตัวละครไลท์ดูเหมือนเด็ก ม.ปลาย ธรรมดาๆ ที่ออกจะขี้กลัวและ Loser ไปหน่อย จึงทำให้ดูไม่เหมาะสมที่จะเป็นอัจฉริยะผู้ได้ครอบครอง Death Note ตามแบบโครงเรื่องที่ถูกวางเอาไว้ อีกทั้งยังใส่ความบ้าคลั่งลงไปในไลท์ได้ไม่ดีพอ เพราะในภาคต้นฉบับนั้น ไลท์แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาเต็มที่จนต้องมีคนบริสุทธิ์ตายมากมาย แต่ไลท์เวอร์ชั่นใหม่ค่อนข้างใจอ่อนและไม่เด็ดขาดเท่าไร และในส่วนของแอล โลลิประทับใจคาแรคเตอร์แอลภาคดั้งเดิมมาก แอลในภาครีเมคนักแสดงก็ถือว่าเล่นเอกลักษณ์เด่นๆ ของแอลออกมาได้ดี แต่ดันขาดความขรึมไป ดูจะใจร้อนขาดสติไปหน่อย แถมดูเหมือนเด็กน้อยที่ชอบกินขนมหวานจนหกเละเทะมากกว่าที่จะเป็นสุดยอดนักสืบที่ใครๆ ก็ลือกัน ทำหนังรวบรัดเกินไปเพราะด้วยความยาวหนังแค่ 1 ชั่วโมง 40 นาที ทำให้บางครั้งใส่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นเสน่ห์ของหนังลงไปได้ไม่เต็มที่ คนดูจึงไม่อินกับเรื่องราวและตัวละครแต่ละตัวเท่าที่ควร ตัวอย่างเช่น ฉากปรากฎตัวของแอลในภาคญี่ปุ่นนั้น แอลปรากฎตัวโดยสื่อสารผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์กับตำรวจมาก่อนระยะหนึ่งก่อนที่จะยอมเผยตัวตนในตอนหลัง นอกจากนี้ กว่าไลท์จะได้มาเจอแอลตัวจริงก็ตอนใกล้จบเรื่องของภาค 1 ความลึกลับของแอลนี่แหละที่เป็นเสน่ห์ทำให้น่าตื่นเต้นและน่าค้นหา ในขณะที่ภาครีเมคมีระยะเวลาที่จำกัดมากกว่าทำให้การปรากฏตัวของแอลนั้นเร็วเกินไป เท่านั้นยังไม่พอ การลงรายละเอียดในกระบวนการสืบสวนของภาครีเมคก็ค่อนข้างหยาบจนทำให้คนดูรู้สึกงงๆ ประมาณว่า เอ๊ะ แล้วตกลงแอลรู้ได้อย่างไรกันนะว่าเป็นฝีมือไลท์ ถ้าหากจะให้แนะนำในส่วนนี้ คิดว่าควรทำเป็นซีรีส์มากกว่า อาจทำให้หนังน่าติดตามมากขึ้น ดีกว่าพยายามรวบรัดให้จบลงในตอนสั้นๆ จนหนังขาดเสน่ห์ไปฉากจบฉากจบก็ถือว่าทำออกมาได้ไม่แย่นะคะ แต่เหมือนหนังมันยังแสดงออกมาได้ไม่ชัดเท่าไรว่าแล้วตกลงแล้วใครเป็นผู้ชนะ เหมือนอะไรๆ มันยังไม่สุดสักอย่าง ไลท์ก็ดูจะแพ้ไม่สุด ถึงพ่อไลท์จะรู้ความจริงแล้วก็ตาม แอลก็ดูคลั่งจนขาดสติเพราะสูญเสียวาตาริไปทำให้เหมือนชนะไม่สุดเช่นกัน ถ้าหากแก้ตรงนี้ได้ โลลิคิดว่าก็เป็นภาครีเมคที่ไม่เลวเลยนะคะเอาล่ะ เพื่อไม่ให้เป็นการมองด้านเดียวเกินไป ตอนนี้เรามาดูข้อดีของเรื่อง Death Note เวอร์ชั่นนี้กันบ้างดีกว่า เพราะถึงอย่างไรก็ตาม ทุกอย่างย่อมมีดีมีเสียอยู่แล้วเนอะ ^^ สำหรับโลลิ สิ่งที่โลลิประทับใจก็คือการใช้แสงสีถือว่าทำออกมาได้ฟีลสมกับเป็นหนัง Horror ดีค่ะ นอกจากนี้ CG ยมทูตก็แนบเนียนและดูร้ายกาจกว่าของต้นฉบับมาก (แน่ล่ะ ยุคสมัยเปลี่ยนไป เทคโนโลยีก็พัฒนา) รวมถึงคาแรคเตอร์ของยมทูตก็ดูร้ายสมกับคำว่ายมทูตดี ในเวอร์ชั่นต้นฉบับ ยมฑูตออกจะดูติงต๊องน่ารักไปนิดสำหรับเรา ฮ่าๆๆๆ โดยรวมๆ แล้ว เราคิดว่า ถ้าหากใครไม่เคยดูและไม่รู้เนื้อเรื่องของ Death Note ในเวอร์ชั่นต้นฉบับมาก่อน ดูเวอร์ชั่นนี้แบบไม่คิดมากก็อาจจะสนุกนะคะ ดังนั้น โลลิขอให้คะแนนกับภาคนี้ 6/10 หักไป 4 คะแนน ตามเหตุผล 4 ข้อที่กล่าวไปอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข้อคิดเห็นของผู้เขียนเท่านั้น ถ้าใครสนใจอยากดูก็สามารถเข้าไปดูได้ผ่าน Netflix เลยค่าาา~ สำหรับวันนี้ โลลิคงต้องขอตัวลาไปก่อน แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่าาา~ // ไหว้งามๆขอบคุณ ภาพหน้าปก / Pic 1 / Pic 2 / Pic 3 / Pic 4By. Loli