เพิ่งครบรอบ 10 ปี มาเมื่อไม่นาน สำหรับ “รถไฟฟ้ามาหานะเธอ” ภาพยนตร์รักโรแมนติกคอมเมดี้ที่เรียกได้ว่าเข้าไปอยู่ในลิสต์หนังในดวงใจของใครหลายคนเป็นที่เรียบร้อย และเป็นหนึ่งในหนังไทยเพียงไม่กี่เรื่องที่ถูกพูดถึงมาอย่างยาวนานจากนักรีวิวหลายสำนัก อีกทั้งเป็นหนังที่สร้างรายได้ทะลุร้อยล้านเรื่องแรกของค่าย GTH ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น GDH ในปัจจุบัน รวมถึงผู้เขียนเองที่ชื่นชอบเรื่องนี้ไม่แพ้กัน เนื้อเรื่องของหนังคร่าว ๆ พูดถึงเรื่องราวชีวิตของ “เหมยลี่” สาวไทยเชื้อสายจีนธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่ใช้ชีวิตผ่านไปในแต่ละวันด้วยความจืดชืดไร้ชีวิตชีวา หลังจากที่เหล่าเพื่อน ๆ ของเธอเริ่มพากันทยอยไปมีครอบครัวกันหมด ความเหงาจึงเป็นสิ่งที่เธอต้องพบเจอไปโดยปริยาย เธอเริ่มค้นพบว่าการมีใครสักคนในชีวิตก็เป็นสิ่งที่เธอโหยหาอยู่เหมือนกัน จนอุบัติเหตุในคืนเมาแล้วขับหลังจากกลับมาจากปาร์ตี้วันเกิดของเพื่อนสนิททำให้เธอได้พบเจอกับ “ลุง” วิศวกรหนุ่มเข้าโดยบังเอิญ แต่การที่เหมยลี่โตมาในกรอบของครอบครัวเชื้อสายจีน ทำให้เธอไม่กล้าที่จะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนในการสานความสัมพันธ์กับลุง ทว่าคำพูดเพียงคำเดียวของแม่กลับทำให้เธอเปลี่ยนความคิดและตัดสินใจมุ่งหน้าไขว่คว้าความรักในครั้งนี้ ซึ่งมันอาจเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตสำหรับเธอแล้วก็ได้ ความอลหม่านจึงเกิดขึ้นในระหว่างชีวิตของคนสองคนโดยมีรถไฟฟ้าเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ กับความต่างของเวลาในการใช้ชีวิตระหว่างเหมยลี่กับลุง จนคนดูต้องเป็นฝ่ายเอาใจช่วยว่าเหมยลี่จะสามารถคว้าความรักครั้งนี้ไว้ได้หรือไม่ สิ่งที่ดีที่สุดของตัวหนังคงเป็นการเล่าเรื่องผ่านวิถีชีวิตของคนกรุงเทพฯ โดยมีเหมยลี่เป็นตัวแทนภาพการใช้ชีวิตที่มีแต่ความเร่งรีบในทุกช่วงจังหวะเวลาของชีวิต รีบจนแทบไม่ต้องคิดเลยว่าจะไปหาแฟนได้ที่ไหน แค่บริหารเวลาในแต่ละวันให้ทันก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว แต่ใครจะไปคิดว่าในชีวิตที่มีแต่ความเร่งรีบจะดันมาเจอกับคนที่ใช่ซะอย่างนั้น ความยากในการใช้ชีวิตจึงเพิ่มเป็นเท่าตัวเมื่อต้องพยายามวิ่งขึ้นรถไฟฟ้าให้ตรงเวลาเพื่อที่จะได้เจอกับคนที่เราแอบชอบ เราจะค่อย ๆ สังเกตว่า ถึงเหมยลี่จะใช้ชีวิตยากเย็นขึ้นมากแค่ไหน แต่สิ่งที่เธอได้กลับมาก็คือความสุขที่ได้เจอลุงนั่นเอง ลุงอยู่ในฐานะเป็นคนพาคนดูและเหมยลี่ค่อย ๆ เข้าไปสัมผัสกับโลกของลุงมากขึ้นเรื่อย ๆ โลกที่การใช้ชีวิตแตกต่างไปจากเหมยลี่โดยสิ้นเชิง และไฮต์ไลท์ที่ถือเป็นภาพจำต่อหนังเรื่องนี้ก็คือ เทศกาลสงกรานต์ และที่มาของคำว่า “หล่อทะลุแป้ง” บวกกับบรรยากาศของกรุงเทพฯในช่วงเวลานั้นเป็นอะไรที่ทำให้ชวนคิดถึงทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาดู ตัวหนังมีความโรแมนติกและความคอมเมดี้สูงใช่เล่น เราจะได้สัมผัสกับความรักที่สามารถเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่งไปตลอดกาลเลยก็ว่าได้ นับว่าเป็นหนังดี ๆ ที่ควรค่าแก่การหยิบขึ้นมาดูซ้ำได้อีกหลาย ๆ รอบในช่วงเทศกาลสงกรานต์ หลังม่านของความรักอันสดใสของคนสองคน สิ่งที่ยากกว่าการตกหลุมรักก็คือการที่เราได้เข้าไปติดอยู่ในโลกของใครสักคนจนยากที่จะถอยออกมา เราจะตัดสินใจเช่นไรหากมีความรักแล้วสุดท้ายชีวิตก็ยังไม่ต่างไปจากเดิม เราให้นิยามชีวิตรักที่มีความสุขเป็นไปในทิศทางไหนกันแน่ ถึงแม้ว่าหนังจะเต็มไปด้วยความน่ารักและมุขตลกแทบทั้งเรื่อง แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงจุด ๆ หนึ่งที่มันควรจะเป็นก็ทำเอาคนดูรู้สึกหนักหน่วงอยู่พอสมควรเหมือนกัน เอาเป็นว่าสำหรับวันหยุดยาวในช่วงสงกรานต์ที่จะถึงนี้ หากไม่มีแพลนออกไปไหน การนอนดูหนังไทยฟิน ๆ อยู่ในห้องก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก เมื่อดูจบแล้วคุณอาจจะต้องมานั่งหาคำตอบว่า ตอนนี้เราพร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในโลกของใครสักคนแล้วหรือยัง?(ขอบคุณภาพจาก www.gdh559.com)