การฝึกสมาธินำมาซึ่งความสุขได้ ในชีวิตประจำวันของคนเรามักเจอเรื่องวุ่นวายต่างๆ บางครั้งทำให้เรารู้สึกเป็นทุกข์ เราจึงต้องรักษาสมดุลทางจิตใจด้วยหนทางของการเจริญสติ โดยมีสมาธิเป็นพื้นฐานในการเริ่มต้น หนังสือเล่มนี้เขียนโดย ชารอน ซอลซ์เบิร์ก แปลโดย ญาณพล มุสิเกตุ ที่จะมาไกด์ผู้อ่านได้เข้าใจถึงความสำคัญของสมาธิ วิธีฝึกแบบตะวันตกผสมผสานกับแบบของตะวันออก รวมทั้งความอึดอัดใจในระหว่างการฝึกที่เกิดขึ้นเราควรจะตั้งมุมมองอย่างไรกับความอึดอัดนั้น ข้อดีของหนังสือเล่มนี้คือผู้แต่งหนังสือพยายามสื่อว่าสมาธิเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ในระหว่างการฝึก ไม่ว่าใครก็ทำได้ ขอแค่ทำอย่างต่อเนื่อง แม้เพียงวันละ 5 นาทีก็ยังดี สำหรับผู้ที่ไม่เคยศึกษาเรื่องการปฏิบัติธรรมมาก่อนพอมาอ่านเล่มนี้อาจจะมีปัญหาว่าภาษาที่ใช้ในเล่ม ดูมีความเป็นปรัชญาเจือปนอยู่บ้าง เวลาอ่านไปบางครั้งมันเลยทำให้เรารู้สึกว่าไม่ได้มีใจความสำคัญอะไร แต่จริงๆแล้วมันมีความหมาย มีนัยยะบางอย่างที่แสดงอยู่ แต่สื่อออกมาอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาได้ยาก จะว่าไป มันก็เหมือนหนังสือแปลจากต่างประเทศเล่มอื่นๆ เพียงแต่ว่าเล่มนี้เน้นในเรื่องของทำสมาธิเพื่อความสุขของชีวิต เนื้อหาภายในเล่ม บทที่ 1 การฝึกสมาธิคืออะไรบทที่ 2 ฝึกสมาธิไปทำไมสัปดาห์ที่ 1 สำรวมความคิดสัปดาห์ที่ 2 การเจริญสติและกายสัปดาห์ที่ 3 การเจริญสติและอารมณ์สัปดาห์ที่ 4 ความเมตตาบ่มเพาะความเห็นใจและความสุขที่แท้จริง แนวคิดที่ได้ในมุมมองของผู้เขียน ผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ของสิ่งเร้า คือ การทำให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง เรามักจะรู้สึกไม่มีจุดยืนที่แน่นอน หรือไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา เรามักรู้สึกว่าเราแบ่งตัวตนให้มีหลายบุคลิก เป็นคนแบบหนึ่งในที่ทำงาน ขณะที่เวลาอยู่บ้านก็เป็นอีกแบบ เราอาจเป็นคนมั่นใจในที่ทำงาน แต่มักรู้สึกไม่เข้มแข็งเมื่ออยู่บ้าน เราไม่ค่อยให้ความสำคัญกับคู่ครอง แต่กลายเป็นอีกคนเมื่ออยู่ปาร์ตี้กับผองเพื่อน เราเป็นคนอดทนและมีเมตตาแต่กลับอารมณ์เสียใส่ลูกของตน เราแต่ละคนต่างมีส่วนผสมที่แตกต่างกัน ทั้งอารมณ์ ความสามารถ และแรงผลักดัน ทุกสิ่งคือส่วนหนึ่งของเรา คุณสมบัติบางอย่างของเราอาจแตกต่างกัน ซึ่งเราอาจใช้ทั้งชีวิตแยกแยะหรือผสมผสานตัวตนและความต้องการของเรา ทั้งเรื่องความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและความเป็นปัจเจก ความอ่อนไหวและความเข้มแข็ง หากได้ยินเสียงตัดสินหรือตำหนิตัวเองในใจ เราจะสามารถปล่อยความรู้สึกนั้นไป แล้วเริ่มใหม่ด้วยใจที่เมตตาและเท่าเทียม โดยจะเห็นว่าความรู้สึกต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้น ระหว่างนั้นพยายามบอกตัวเองในใจอย่างอบอุ่น และเปิดกว้างต่อการรับรู้ คุณไม่จำเป็นต้องใช้การบอกตัวเองในใจตลอดเวลา แค่สังเกตเห็นความคิดและความรู้สึกเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว บางครั้งการบอกตัวเองในใจก็เป็นวิธีที่ดีที่จะเชื่อมโยงอย่างรวดเร็วและชัดเจนกับประสบการณ์ฉับพลันของคุณ เราอาจรู้สึกไม่สบายใจที่ปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความรู้สึกดีๆ เพราะเรากลัวว่าเรื่องไม่ดีจะตามมา เราอาจรู้สึกผิดและคิดว่าตัวเองไม่ดีพอที่จะมีความสุข แต่เวลาแห่งการฝึกสมาธิ เราจะเชื้อเชิญให้อารมณ์แห่งความสุขเข้ามา แล้วปล่อยให้ตัวเองสร้างพื้นที่ให้กับอารมณ์เหล่านั้น เรียนรู้และอยู่กับประสบการณ์นั้นอย่างเต็มที่ เราเรียนรู้ความรู้สึกเจ็บปวด ความคิดแง่ลบ ความเกลียดชัง รวมถึงการมองว่าทำไมเรื่องร้ายๆเช่นนี้ถึงเกิดขึ้นกับเรา ทั้งหมดล้วนเป็นประสบการณ์ของมนุษย์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้และอยู่เหนือการควบคุมของเรา เราเตือนตัวเองให้รู้ว่าความคิดต่างจากการกระทำ เราค่อยๆสังเกตการณ์ตอบสนองที่เป็นนิสัย และการตัดสินของเราที่แยกเราออกจากประสบการณ์ที่แท้จริง ความไม่รู้จริงทำให้เรากระทำสิ่งต่างๆโดยไม่คิด หากรู้จักเปลี่ยนวิธีการรับมือกับความรู้สึกเมื่อฝึกสมาธิ เราจะสร้างความเปลี่ยนแปลงดีๆให้เกิดขึ้นกับชีวิตได้ตลอดไป ความเมตตาเป็นรูปแบบของความรักที่เป็นความสามารถของคน รายงานทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า ความเมตตาเป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้ มันคือความสามารถในการรับความเสี่ยงบางประการอย่างตระหนักรู้โดยการมองตัวเองและผู้อื่นด้วยความหวังดี แทนที่จะมองอย่างตำหนิ ความเมตตาไม่ใช่ความหลงใหลหรือความรักแบบชู้สาว และไม่ใช่ความรู้สึกอ่อนไหวอย่างในละคร เราไม่จำเป็นต้องชอบหรือเห็นด้วยกับทุกคนที่เราเมตตาเขา เพียงจดจ่ออยู่กับการเปิดรับและความเห็นอกเห็นใจ เพื่อสร้างความเชื่อมโยงและท้าทายความคิดปิดกั้นของสองโลกระหว่างเรา/เขา ด้วยการมองมุมใหม่ว่าทุกคนคือ พวกเดียวกันกับเราทั้งนั้น การฝึกเมตตาสมาธิช่วยเพิ่มความสามารถในการรู้จักยินดีกับผู้อื่น เพราะความยินดีนั้นจะช่วยให้เราเข้าถึงผู้อื่นได้ดีขึ้น เมื่อไหร่ที่เราสามารถข้ามผ่านความรู้สึกด้อยหรือพ่ายแพ้จากความสำเร็จของผู้อื่น เราจะเข้าใจว่ามันไม่ได้มีผลอะไรกับเราเลย อันที่จริงการยินดีกับผู้อื่นจะยิ่งเพิ่มโอกาสค้นพบความสุขมากขึ้นด้วย หนทางหนึ่งที่จะบำรุงจิตใจให้มีเมตตาคือการเห็นความดีในตัวคนอื่น การมองหาความดีไม่ใช่การมองข้ามสิ่งไม่ดี หรือยอมรับพฤติกรรมที่เป็นอันตราย แต่หากเรามองคนเฉพาะด้านที่ไม่ดีจะยิ่งรู้สึกบาดหมางกับคนนั้น บางทีเราอาจจะมองสิ่งดีๆสักนิดที่เขามี เมื่อลองให้ความสำคัญกับความดีแม้เพียงเล็กน้อยของเขา เราก็ไม่ต้องก้าวผ่านเส้นแบ่งระหว่างเรากับเขา บ่อยครั้งเรามักคิดว่าสิ่งดีๆที่เกิดขึ้นกับคนอื่นควรเป็นของเรา แต่เป็นเพราะโชคชะตาเล่นตลกจึงทำให้มันไม่เกิดขึ้น แน่นอนว่าเราควรจะต้องมาพิจารณาถึงสมมติฐานที่ว่านั้น การบ่มเพาะความเห็นอกเห็นใจต่อผู้อื่นนั้นเปิดประตูแห่งความจริงที่ว่าความสุขของคนอื่นไม่ได้พรากอะไรไปจากเราเลย ยิ่งโลกนี้เต็มไปด้วยความสุขความสำเร็จก็จะยิ่งเป็นเรื่องที่ดีต่อเราทุกคน ระหว่างการฝึกขอให้ฉันมีความสุข ขอให้เธอมีความสุข เราไม่ต้องแสร้งทำเป็นชอบคนที่เราเกลียด เรามีเมตตากับคนที่ไม่ชอบได้ ขอเพียงรู้จักเรียนรู้การเข้าถึงผู้อื่น ใส่ใจจดจ่อและส่งรวบรวมพลังให้อยู่กับถ้อยคำเหล่านั้น เพราะเราทุกคนนั้นต่างต้องการความสุข ความปรารถนาดี สุขภาพแข็งแรง และมีชีวิตที่สงบสุข 10 วิธีเพื่อการฝึกให้ลึกซึ้ง1.คิดว่าความเมตตาเป็นพลัง ไม่ใช่ความอ่อนแอ2.มองข้อดีของตัวเอง3.จำไว้ว่าทุกคนต่างก็อยากมีความสุข4.จดจำผู้ที่เคยช่วยเหลือหรือสร้างแรงบันดาลใจให้เรา5.ฝึกแสดงน้ำใจอย่างน้อยวันละอย่าง แม้เพียงรอยยิ้มหรือเขียนสิ่งดีๆที่อยากขอบคุณในแต่ละวัน6.ฝึกเมตตาสมาธิ นึกถึงคนที่เคยช่วยเหลือเรา สร้างแรงบันดาลใจให้เราแล้วส่งความปรารถนาดีไปให้เขา7.รู้จักฟัง ไม่เอาแบบว่าฟังผ่านๆโดยรู้อยู่แล้วว่าคู่สนทนาจะพูดเรื่องอะไร โดยสรุปเอาเองจากประสบการณ์ที่เคยเจอ เปิดใจรับฟังคนอื่นช่วยแสดงออกถึงความรัก ความเมตตา8.เปิดใจให้กับคนที่เคยถูกมองข้าม9.หยุดการพูดจาให้ร้ายผู้อื่น10.ใส่รองเท้าของผู้อื่นแล้วเดินไปสักครึ่งไมล์ก่อนที่คุณจะตัดสินใคร เป็นภาษิตในอดีต แม้ว่าเราจะใช้วิธีการรุนแรงเพื่อพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของใครสักคน แต่การที่เราจะเข้าใจ เห็นใจผู้อื่นนั้นไม่ได้ทำให้เราพ่ายแพ้ ตรงกันข้าม ความดีงามจะช่วยให้เราเห็นใจผู้อื่นด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์อีกด้วย แนวโน้มการยึดติดอยู่กับความรู้สึกด้านลบ คือ สิ่งที่เราเข้าถึงได้อย่างมีสติ เราสังเกตเห็น เรียกชื่อ สังเกต ทดสอบ ปล่อยวางมันเสีย ด้วยการใช้ทักษะที่ได้เรียนรู้จากการฝึกสมาธิ เมื่อเริ่มฝึกอย่างต่อเนื่อง การฝึกแต่ละครั้งจะแตกต่างกันไป เช่นเดียวกันกับช่วงเดือนแรกของการฝึก บางครั้งการฝึกก็เป็นไปด้วยดี บางครั้งก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดจากการจู่โจมของอุปสรรคมากมาย แต่ประสบการณ์ที่แตกต่างกันเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการฝึก สิ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงและเป็นความสำเร็จสูงสุดคือการที่คุณเชื่อมั่นว่าคุณมีความสามารถที่จะมอบความรักแก่ตัวเองและผู้อื่นได้ ไม่มีเวลานั่งสมาธิ เพราะคิดว่าต้องนั่งสมาธิให้ได้วันละ 2 ชั่วโมงทุกวัน หรือครึ่งชั่วโมงในวันหยุด แท้จริงแล้ว แค่ 5 นาทีในการเจียดเวลามาทำสมาธิก็ใช้ได้แล้ว อย่างน้อยก็ได้ลองใช้เวลาเพื่อเชื่อมโยงกับตัวเราเองในวันนั้น นี่คือแนวคิดที่ได้ภายในเล่ม ยังมีรายละเอียดและกรณีศึกษาของผู้ที่ได้ปฏิบัติสมาธิภาวนาที่มาขอคำปรึกษากับผู้แต่งหนังสือให้เราได้ศึกษาโดยตรงภายในเล่ม ประสบการณ์ของชารอนเกี่ยวกับการสอนในเรื่องการทำสมาธิและปรับมุมมองของความทุกข์นั้นน่าสนใจ ยอมรับว่าวลีที่ใช้ภายในเล่มมีความเป็นนามธรรมสูงมาก ซึ่งก็อาจเป็นข้อด้อยของหนังสือเล่มนี้ มันเข้าใจค่อนข้างยาก แต่การปรับแก้ข้อความให้เข้าใจง่ายๆมันก็เสี่ยงที่จะเพี้ยนไปจากสิ่งที่ผู้แปลต้องการจะสื่ออีกด้วย และมันอาจตีความผิดเพี้ยนไปได้ง่าย ต้องเน้นย้ำก่อนว่า นี่ไม่ใช่หนังสือแนะนำการปฏิบัติธรรมเพื่อการบรรลุมรรคผลแบบทางพุทธ แต่เป็นการทำสมาธิเพื่อให้ชีวิตมีความสุข เป็นคนที่ดีขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป ซึ่งควรค่าแก่การศึกษาและลองปฏิบัติตามในเบื้องต้นได้ครับ เครดิตภาพภาพปก โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย pressfoto จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย jcomp จาก freepik.comภาพที่ 5 โดย jcomp จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ จงรักในความไม่สมบูรณ์แบบของตัวเองรีวิวหนังสือ เปลี่ยนแผลเป็นพลัง (From Pain to Power)รีวิวหนังสือ GOOD VIBES, GOOD LIFE ใช้คลื่นพลังบวกดึงดูดพลังสุขพุทธพจน์ กับความก้าวหน้าของชีวิตรีวิวหนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพุทธเจ้าเห็น7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์