พูดถึงเรื่องของการลงทุนหุ้น หลายคนอาจมองว่ามีความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้นที่เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง แทนที่จะซื้อหุ้นดีในราคาถูก กลับเข้าผิดจังหวะซื้อหุ้นที่ราคาแพง แถมราคาหุ้นยังดิ่งลงต่อเนื่อง สร้างความเจ็บใจให้กับนักลงทุนจนกลายเป็นความเครียด ไม่รู้จะทำอย่างไรให้การลงทุนหุ้นเป็นการลงทุนที่สบายใจได้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เขียนหนังสือและเป็นเซียนแนวการลงทุนแบบ Value Investment จะมาแนะนำประสบการณ์ในการลงทุนจากมุมมองส่วนตัวที่เกิดขึ้นกับเศรษฐกิจไทยในช่วงปี พ.ศ. 2555 (ค.ศ 2012) และเน้นถึงเรื่องของการลงทุนหุ้นว่ามันสามารถเป็นการลงทุนที่สบายใจได้ หากเราเน้นการลงทุนระยะยาว เติบโตไปกับกิจการและบริษัท เนื้อหาภายในเล่มVI Gen XVI กับชีวจิตความเชื่อที่อันตรายของ VIตามรอยบัฟเฟตต์จิตสำนึกกับการลงทุนลงทุนอย่างสบายใจกลยุทธ์ยามหุ้นแพงDiscountPremiumsศึกชิงตาศึกชิงเท้าศึกน้ำหวานสภาพคล่องของหุ้นวิเคราะห์หุ้นจากตัวเลขหุ้นกับสงครามหุ้นขั้นเทพหุ้นที่ผมชอบที่สุดหุ้นพันธบัตรพอร์ตเล็กโตไวฟองสบู่ทะเลใต้ไม่มีคำว่าสายรวยจากรัฐสินค้ามือสองสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมเภทเลือกวิธีประเมินมูลค่าหุ้นเล่นหุ้นตามผลประกอบการเล่นหุ้นตามกระแสเล่นบอล-เล่นหุ้นผู้นำกับหุ้นปัญหาทางความคิดธุรกิจทำง่ายการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมเงินคือพระเจ้างานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรงงาน (ไม่) ทำเงินคุณค่าของความคลั่งไคล้คุณค่าของความดังความสุขและความทุกข์ของการเล่นหุ้นกฎของชีวิต-กฎของการลงทุนหนังสือคลาสสิกอาบเหงื่อต่างน้ำโอกาสทองThe New Elite แนวคิดที่ได้และความประทับใจในมุมมองของครีเอเตอร์ได้เรียนรู้ว่าการลงทุนสไตล์วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุน VI ชื่อดังก้องโลก มีรายละเอียด ดังนี้1.เน้นลงทุนในกิจการที่อยู่มายาวนาน เปลี่ยนแปลงช้า ไม่ถูก Disrupt ได้ง่ายๆ เช่น อาหาร สินค้าอุปโภคบริโภค บริษัทค้าปลีก เป็นต้น2.ลงทุนในหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน แต่บัฟเฟตต์ก็มักจะลงทุนเพียงแค่ 2-3 ปี จะมีข้อยกเว้นอยู่บ้างก็แล้วแต่กรณีและสถานการณ์ในช่วงนั้นๆ3.บัฟเฟตต์ยังคงหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นไฮเทค4.หุ้นที่เกี่ยวกับพลังงานและการขนส่ง หุ้นบางตัวที่เป็นโภคภัณฑ์ล้วนๆอย่างน้ำมันนั้น บัฟเฟตต์จะเน้นเก็งกำไรมากกว่า5.หุ้นตะวันตกดิน หรือหุ้นแนวก้นบุหรี่ที่ราคาถูก แต่ธุรกิจไม่มีทางโตอีกแล้ว บัฟเฟตต์มักจะห่างเหิน เว้นแต่ว่าเขาเห็นโอกาสอะไรบางอย่างในตัวกิจการนั้นๆ6.บัฟเฟตต์ได้เริ่มลงทุนในหุ้นต่างประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ7.บัฟเฟตต์ยังเป็นคนกล้าและใจเย็นเป็นที่สุด จากการลงทุนในหุ้นฝั่งยุโรปที่เสี่ยงจะล้มหรือจะรอด สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจถูก ทำกำไรได้มหาศาล ได้เรียนรู้หลักการลงทุนอย่างสบายใจ ซึ่งได้แก่1.จงตั้งความหวังผลตอบแทนระยะยาวจากการลงทุนหุ้นให้เหมาะสม คือ ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเฉลี่ยประมาณ 10% (ปัจจุบันอาจจะเหลือ 5-7%)2.เลือกซื้อหุ้นที่เน้นความปลอดภัยของกิจการเป็นหลัก กิจการไม่ล้ำสมัย แต่ก็ไม่ล้าสมัย มีฐานะการเงินดี และมีลูกค้าแวะเวียนใช้บริการเป็นประจำ3.ต้องมีการกระจายความเสี่ยงในการถือหุ้นในหลายอุตสาหกรรม อย่างน้อยประมาณ 5 ตัว หุ้นที่ถือใหญ่สุดไม่เกิน 30% ของพอร์ต ทั้งนี้ถ้าเงินลงทุนต่ำกว่า 100 ล้านบาท ก็ไม่ควรถือหุ้นเกิน 10-15 ตัว4.ในแต่ละปีเราต้องตั้งกฎไว้ว่าจะมีการซื้อขายหุ้นไม่เกินกี่เปอร์เซ็นต์ของพอร์ต ดร.นิเวศน์แนะง่ายๆว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นของเราในแต่ละปีไม่ควรเกิน 2 เท่าของพอร์ตเรา5.อย่าสนใจการขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัวมากจนเกินไป เพราะจะทำให้เราไม่ทำตามแผนเดิมจนเสียแผนได้ เราแค่ดูถึงตัวพื้นฐานกิจการทุกไตรมาสก็เป็นใช้ได้6.ไม่ควรเน้นที่ราคาหุ้นรายวัน เราจะติดตามหุ้นทุกไตรมาสแทน ดูผลประกอบการว่ามันเป็นไปตามที่เราคาดไว้หรือไม่ ถ้าไม่ ต้องรู้ว่ามันเป็นเพราะอะไร ถ้าเราคาดการณ์ถูกก็ไม่ต้องทำอะไร ถ้าผิด เราก็ขายทิ้งได้7.เมื่อได้รับเงินปันผลมา ให้นำเงินปันผลนั้นกลับไปซื้อหุ้นกลับเข้าพอร์ต เพื่อทำให้พอร์ตเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และเป็นหลักการลงทุนแบบทบต้น8.เราต้องคำนวณหาผลตอบแทนประจำปี ดูว่าเราทำผลตอบแทนได้เท่าไร เมื่อเทียบกับผลตอบแทนของตลาดและเป้าหมายระยะยาวของเรา ซึ่งก็คือ 10% ถ้าเราทำได้ดีกว่าตลาดและดีกว่าเป้า ก็ขอให้ภูมิใจในตัวเองโดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใคร ถ้าน้อยกว่าตลาดและน้อยกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ก็ดูว่าปันผลที่ได้มันเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหรือไม่ เพราะการลงทุนระยะยาวจะใช้เงินปันผลเป็นตัวชี้วัดว่าเราลงทุนถูกต้องหรือเปล่า ถ้าปันผลเพิ่มทุกปี ก็ไม่มีอะไรน่าวิตก ได้เรียนรู้สภาพคล่องของหุ้น มองได้ 2 ด้าน1.จำนวนนักลงทุนที่จะซื้อขายหุ้น2.ปริมาณการซื้อขายของหุ้นเมื่อเทียบกับจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัท ได้เรียนรู้การวิเคราะห์หุ้นทั้งในเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เราจะเริ่มวิเคราะห์จากคุณภาพก่อน เช่น การตลาด การแข่งขันเมื่อเทียบกับคู่แข่ง จากนั้นไปวิเคราะห์ด้านปริมาณ และข้อมูลทางการเงิน 4-5 ปีย้อนหลัง เช่น1.กำไรสุทธิมีความสม่ำเสมอหรือไม่2.ค่า ROE หรือกำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ต้องสูงกว่า 15% ถึงมีกำไรดี แต่ ROE ต้องไม่สูงเพราะบริษัทมีหนี้เงินกู้สูงเกินไป3.อัตรากำไรสุทธิคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ตัวเลขนี้จะแตกต่างกันตามแต่ละอุตสาหกรรม4.มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด หรือ Market Cap เป็นตัวเลขที่บอกว่าอดีตตลาดให้มูลค่าบริษัทเท่าไร5.ค่า PE ซึ่งบอกถึงความถูกแพงของหุ้น ถ้ากิจการดีจริง ค่า PE สูงบ้างก็อาจจะคุ้ม ถ้ากิจการไม่ดี PE ต่ำแค่ไหนก็ไม่ตุ้ม6.ค่า PB บอกถึงราคาหุ้นเทียบกับมูลค่าของทรัพย์สินสุทธิของบริษัท7.อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน เป็นค่าที่บอกว่ามันเป็นหุ้นปันผลหรือไม่ ถ้าอยู่ในขั้น 5-6% เกือบทุกปี ก็อาจจะเป็นหุ้นปันผลที่ดี และนี่คือประเด็นที่หนังสือเล่มนี้ได้ถ่ายทอดไว้ ทั้งนี้ครีเอเตอร์ก็ตระหนักว่าในโลกของการลงทุนหุ้นมีทฤษฎีและแนวคิดให้ต้องศึกษาหามาอ่านไม่จบสิ้น สิ่งเหล่านี้ต้องใช้เวลาสะสมความรู้ไปเรื่อยๆ เพราะหุ้นถือเป็นเกมการเงินระยะยาวที่อิงอยู่กับธุรกิจ สังคม ประวัติศาสตร์ที่มักซ้ำรอย และจิตวิทยาของมนุษย์ ลงทุนหุ้นอย่างสบายใจก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดในการลงทุนหุ้นเพื่อพอร์ตของเราจะได้เติบโตท่ามกลางความเสี่ยงที่เราพอจะจำกัดมันได้เหนือสิ่งอื่นใด การลงทุนไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อะไรก็ตาม มันจะเป็นการลงทุนที่มีคุณภาพได้จริง เราต้องสบายใจไปกับมันด้วย เครดิตภาพภาพปก โดย lifeforstock จาก freepik.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย freepik จาก freepik.comภาพที่ 4 โดย freepik จาก freepik.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจรีวิวหนังสือ Super Stock ในตลาดหุ้นเวียดนามรีวิวหนังสือ การลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์เงินเดือนรีวิวหนังสือ ลงทุนหุ้นท่ามกลางวิกฤติ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ ลงทุนแบบเฮดจ์ฟันด์ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรรีวิวหนังสือ ฝ่าวิกฤติหุ้นด้วย VI พันธุ์แท้ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร7-11 Community ห้องลับเมาท์มอยของกินของใช้ในเซเว่น อะไรดีอะไรใหม่ ต้องรู้ ต้องคุย ต้องแชร์