การเลี้ยงลูกในยุคสมัยปัจจุบันเป็นธรรมดาที่เรามักกังขาตัวเองว่าเราควรจะเลี้ยงลูกอย่างไรให้ถูกต้อง ให้เขาเติบโตอย่างที่สามารถพร้อมเผชิญกับโลกที่เราเองก็ยังไม่รู้จักดีนัก หนังสือเล่มนี้จึงได้ให้หลักการ EF ย่อมาจาก Executive Function ซึ่งมันคือความสามารถของสมองและจิตใจที่จะควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายได้ สิ่งนี้เองคือทักษะจำเป็นสำหรับชีวิตในยุคปัจจุบันหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นโดย นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ โดยได้รวบรวมองค์ความรู้จากวิชาชีพและประสบการณ์จากการทำงานถ่ายทอดออกมาเป็นความรู้ที่เข้าใจง่ายและทำตามได้ทันที ในฐานะผู้ที่เป็นพ่อแม่จะมีเวลาเพียง 3 ขวบปีแรกที่จะเลี้ยงลูกให้มีตัวตน (Self) ที่ชัดเจน ก่อนที่จะส่งลูกเข้าสู่ระบบการศึกษาในระบบของโรงเรียนExecutive Function หรือ EF มักจะเกี่ยวข้องกับตัวตน การควบคุมตัวเอง และก่อนที่จะมีตัวเองให้ควบคุมนั้น ต้องมีตัวตน (Self) เสียก่อน การสร้างตัวตนจะใช้เวลาช่วง 3 ปีแรก คือตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 3 ขวบ นับเป็นช่วงเวลาวิกฤติ (Critical Period) คือถ้าถึงเวลาแล้วไม่ทำ ก็จะทำไม่ได้ หรือทำได้ยาก นี่คือความจำเป็นของ EF ที่ต้องมีในการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดทุกคนแนวคิดที่ได้ภายในเล่มในมุมมองของผู้เขียนระหว่างขวบปีที่ 2 และ 3 ทารกมีภารกิจ 3 ประการ คือ สร้างสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าแม่ สร้างความผูกพันกับแม่ที่เรียกว่า สายสัมพันธ์ และสร้างตัวตนEF คือความสามารถของสมองและจิตใจที่ใช้ในการควบคุมความคิด อารมณ์ และการกระทำเพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย โดยมี 5 คำสำคัญ คือ สมอง (brain) ความคิด (cognition) อารมณ์ (emotion) การกระทำ (action) และเป้าหมาย (target)เด็กๆพัฒนาความสามารถที่จะกำหนดเป้าหมายด้วยการเล่นหรือการทำงาน โดยที่เด็กจะกำหนดเป้าหมายระยะสั้นเป็นครั้งๆโดยธรรมชาติ ไม่ว่าจะเล่นหมากเก็บ ต่อจิ๊กซอว์ ปีนที่สูง หรือกวาดบ้าน ล้างจาน ตากผ้า ทั้งหมดล้วนมีเป้าหมายชัดเจน สมองส่วนหน้าและเซลล์ประสาทของเด็กจะทำงาน ก่อรูปขึ้นเป็นวงจรประสาทเพื่อการกำหนดเป้าหมาย นี่คือฐานของ EF นั่นเองเมื่อแรกเกิดเรามักคาดหวังว่าเด็กต้องสมบูรณ์ครบ 32 ประการ พอเวลาผ่านไปเราก็คาดหวังว่าเด็กต้องเรียนเก่ง เอาตัวรอดเป็น และอีกสารพัดสิ่งที่เราคาดหวังจากตัวเด็ก ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด แต่สำหรับ EF แล้วเราควรคาดหวังเรื่องเหล่านี้ คือ......ดูแลตัวเองได้ เอาตัวรอดได้ และมีอนาคตที่ใช้ได้ดูแลตัวเองได้ ต้องเริ่มจากการมีตัวตน (Self) ให้ดูแลเสียก่อน แล้วเห็นตัวเองเป็นศูนย์กลาง (Self-centered) พอทำได้แล้วจึงมีความมั่นใจว่าตัวเองทำได้ (Self-esteem) รับรู้ว่าตัวเองทำได้ แล้วจะทำต่อไป จากเรื่องของร่างกายก่อน ทั้งการกิน การนอน การเข้าห้องน้ำ แปรงฟัน อาบน้ำ ควรดูแลตัวเองได้ ถัดมาคือการดูแลข้าวของเครื่องใช้ รู้จักเก็บ รู้จักดูแลรักษาความสะอาด ถัดมาคือพื้นที่สาธารณะ การอยู่ร่วมกันตามกติกาของสังคม เด็กๆควรทำตามได้ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคิว การวางตัวในร้านอาหาร การขึ้นยานพาหนะต่างๆงานบางอย่างมีความซับซ้อนกับเด็กมากขึ้น จึงต้องการความสามารถในการวางเป้าหมาย (target) แล้ววางแผนทำ (planning) และควบคุมตัวเอง (self control) เพื่อทำงานให้เสร็จ ทั้งหมดเกิดจากการมี EF ที่ดีเอาตัวรอดได้ หมายถึง เอาตัวรอดจากสิ่งยั่วยวน ความสุขฉาบฉวย ความรักสบายจนเคยตัว รวมทั้งลาภยศ สรรเสริญจอมปลอม ตรงกันข้าม การทำงานยากให้เสร็จกว่าจะอิ่มใจในตอนท้ายต้องใช้เวลาและความพยายามสูง ซึ่งช้ากว่ากันมาก เหล่านี้คือกิจกรรมที่ใช้เสริมสร้าง EF ส่วนที่เรียกว่า delayed gratification ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เราอยากให้ลูกมี คือรู้จักอดทนต่อความลำบากก่อนที่จะสบายทีหลัง ทั้งนี้เพื่อให้เด็กไม่เข้าไปยุ่งกับอบายมุขง่ายนักอนาคตที่ดี ในนิยามของ EF ไม่ได้แปลว่ารวย แต่หมายถึงมีอนาคตที่ไปได้เรื่อยๆตามกำลังความสามารถ และไม่อับจนหนทาง อนาคตที่ดีต้องการทักษะชีวิตที่ดี นั่นคือความสามารถระดับสูงของสมองและจิตใจที่จะไปข้างหน้าได้เรื่อยๆโดยสมองส่วนหน้าที่ดีอย่าง prefrontal cortexอนาคตที่ดีนั้น เด็กต้องมองไปอนาคตแล้วมองเห็น กำหนดเป้าหมายระยะสั้น ระยะยาวได้ รู้ว่าตัวเองอยากเป็นอะไร อยากทำอะไร มีความใฝ่ฝัน มีแรงบันดาลใจ มีความมุ่งมั่น มี passion ในสิ่งที่ทำ ทำด้วยความรัก ความหลงใหล ความตั้งใจ เพราะคืออนาคตที่ต้องเลือก มองเห็นแล้ววางแผน วางแผนแล้วลงมือทำ คนที่มี EF และทักษะชีวิตดีจะไม่นอนก่ายหน้าผากหลังเรียนจบ จะทำงาน ต่อให้ทำไม่เป็นก็จะวางแผนแล้วลงมือทำ ไม่โทษคนอื่น ไม่มีอะไรดีที่สุดหรือแย่ไปตลอด ทุกอย่างจะถูกมองว่าปรับปรุงได้เสมอและนี่คือแนวคิดดีๆที่ได้จากหนังสือเล่มนี้ครับ ซึ่งเหมาะมากสำหรับใครที่วางแผนอยากเลี้ยงดูบุตร และมุ่งหวังว่าลูกของเราจะต้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี คิดเป็น วางตัวเหมาะสม มันเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับคนที่กำลังจะเป็นคุณพ่อคุณแม่มือใหม่ เพราะถ้าเด็กโตขึ้นไปแล้ว แต่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างผิดๆ หรือเลี้ยงดูเพียงสักแต่ว่าให้เด็กได้โตไปเฉยๆ แน่นอนว่า โตไปเป็นผู้ใหญ่ก็อาจเป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพก็เป็นได้ ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้วประสบการณ์ของผู้เขียนเมื่อได้นำความรู้นี้ไปใช้เนื่องด้วยตัวผู้เขียนเองไม่มีลูก ไม่มีคู่ครอง กำพร้าเมีย....(อย่างน้อยก็ในตอนนี้) รวมทั้งยังไม่มีหลานด้วย จึงไม่ได้แนะนำเรื่องเหล่านี้ไปให้ใคร เพื่อนของผู้เขียนเองก็ยังไม่มีลูก ทำให้ไม่ทราบเลยว่าระยะยาวในทางปฏิบัตินั้นจะส่งผลดีให้เห็นประจักษ์ชัดอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ ผู้เขียนจึงได้แนะนำกับผู้อ่านแทน เผื่อว่าหากคุณผู้อ่านกำลังวางแผนเลี้ยงดูบุตรก็จะได้หยิบยกเรื่องของ EF ไปเป็นประเด็นเพื่อขอคำปรึกษาจากกุมารแพทย์ในการเลี้ยงดูบุตรต่อไปครับผู้เขียนแนะนำหนังสือเล่มนี้ และอยากให้เป็นความรู้ที่ได้รับเผยแพร่ เน้นย้ำถึงความสำคัญของ EF อีกทั้งวัยของเด็กมีช่วงเวลาที่เหมาะแก่การปลูกฝัง หากเลยวัยนั้นๆไปแล้วมันแก้ไขอะไรได้ยาก หรือแทบจะแก้ไขไม่ได้เลยก็เป็นได้ เครดิตภาพภาพปก โดย Karsten Würth จาก unsplash.comภาพที่ 1 และ 2 โดยผู้เขียนภาพที่ 3 โดย Alvin Mahmudov จาก unsplash.comภาพที่ 4 โดย Ramin Talebi จาก unsplash.com บทความอื่นๆที่น่าสนใจTrueID In-Trend แหล่งสร้างคอนเทนต์หารายได้เสริมช่วงโควิด-19รวมภาษิตอังกฤษ เป็นกำลังใจทุกความเจ็บปวดรีวิวเกม Doodle Jump เกมมือถือออฟไลน์เล่นแก้เหงารีวิวหนังสือ วิชาแรก วิชาชีวิตส่องเรียนออนไลน์ฟรีได้ประกาศนียบัตรจากมหาวิทยาลัยมหิดล มีอะไรน่าเรียนบ้างอัปเดตข่าวสาร และแหล่งเรียนรู้หลากหลายแบบไม่ตกเทรนด์ บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !