รีวิวหนังสือดี ชีวิตติดปีกด้วยศิลปะแห่งการช่างแ*่ง ในช่วงชีวิตของการเริ่มต้นการทำงาน ผมเชื่อว่า ทุกคนมีความรู้สึกสับสนในตัวเอง ไม่ใช่ทุกคนที่มีเส้นทางที่มั่นคงหรือเป้าหมายที่ชัดเจนกับชีวิต และมันยิ่งยากเพราะชีวิตการทำงานของผมไม่ได้เริ่มต้นตอนที่เรียนจบไปแล้ว แต่หลังจากนั้นถึงกว่า 2 ปี ผมค้นพบว่าชีวิตที่เริ่มช้ากว่าคนอื่น เป็นสิ่งที่อาจทำให้ผมไม่ประสบความสำเร็จ แต่ดูเหมือนว่า จะมีหนังสือเล่มหนึ่งที่ค่อยกระเทาะความไม่มั่นใจ ความไม่แน่นอน และการคิดไปก่อนของตัวผมเองออกทีละน้อย ดูเหมือนโฆษณาจนเต็มที่เลยใช่ไหมครับ แต่หนังสือเล่มนี้มันเปลี่ยนแนวคิดของผมจริงๆ นะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่าเพราะอะไรกันแน่ ที่ทำให้ผมคลั่งหนังสือเล่มนี้ถึงขนาดนี้หนังสือชื่อ ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่ง หรือ The Subtle Art Of Not Giving A F*ck เป็นหนังสือของ Mark Manson นักเขียนและบล็อกเกอร์ชาวอเมริกัน ที่พูดถึงการใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะทำมานานแล้ว โดยไม่ต้องไปสนใจความคิดคนอื่นที่ถูกนำมาตีกรอบให้ตัวเราอยู่ในมุมหนึ่งที่คิดว่ามีความสุข แต่จริงๆ แล้วการทำตามความต้องการของสังคมคือการทำลายตัวเองต่างหาก หนังสือเล่มนี้เป็นการแนะนำการใช้ชีวิตในรูปแบบต่างๆ ตัดสลับกับการเล่าเรื่องของคนโน้นที คนนี้ที ที่แสดงให้เห็นถึงตัวอย่างการใช้ชีวิตที่ถูกและผิด วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วสรุปจบว่า เราทำอะไรได้บ้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อเป็นบทเรียนให้กับตัวผู้อ่านได้ตัดสินใจและนำไปใช้ในแบบของตัวเอง ส่วนตัวแล้ว ผมไม่ใช่คนที่จะซื้อหนังสือพัฒนาตัวเองมาอ่านมากนัก เพราะเคยคิดจะหยิบเล่มหนึ่งมาอ่านแล้วก็พบว่า เหมือนตัวเองกำลังเข้าไปอยู่ในลัทธิอะไรสักอย่าง ทุกๆ 3 ย่อหน้าจะมีข้อความซ้ำๆ ในทำนองว่า ชีวิตเธอจะดีนะถ้าเธอทำแบบนี้ ซึ่งหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ผมก็มี Bias กับหนังสือในแนวนี้ไปเลย เพราะมันปลอบประโลมคนให้ทำในแนวทางของผู้เขียนเองซะส่วนใหญ่ เหมือนเป็นการสะกดจิต ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมก็มองว่า การไม่เปิดโอกาสให้ผู้อ่านที่มีประสบการณ์ชีวิตแตกต่างกันมาทำในสิ่งเดียวกัน เป็นสิ่งที่ไม่เวิร์ค และไม่ช่วยพัฒนาให้คนแต่ละคนแตกต่างและเป็นตัวของตัวเองเลย แต่กับหนังสือเล่มนี้ มันก็เหมือนการอ่านหนังสือธรรมะ มันชี้ทางให้เรา แต่ไม่ได้การันตีว่ามันจะดี เพียงแต่มันบอกเราว่า ชีวิตก็เป็นอย่างนี้ ยอมรับมันแล้วก้าวต่อไปสิ เราเลยเจอมุกเสียดสีชีวิตในหนังสือเล่มนี้เต็มไปหมดภาพประกอบโดย npapaioannou จาก Pixabayทิ้งสิ่งที่ควรทิ้งไว้เบื้องหลัง แต่ไม่ได้ทิ้งไปเลยคำว่า ช่างแม่ง บนปกหนังสือ ออกจะทำให้คนทั่วไปตีความไปในเชิงว่าก็ช่างมันสิ ทิ้งไปเลย แต่จริงๆ แล้วหลังจากได้อ่านก็จะพบว่า เค้าตั้งใจจะบอกว่า อะไรสำคัญก็ทำก่อน อะไรที่สำคัญน้อยกว่าก็ช่างแม่งมันไว้อย่างนั้น แล้วพอวันหนึ่งที่มันเป็นสิ่งที่ต้องทำ เราก็ค่อยหยิบมันขึ้นมาจัดการให้เรียบร้อย เป็นสิ่งที่ว่าด้วยการจัดลำดับความสำคัญของสิ่งต่างๆ ในชีวิตที่เราอาจมองข้ามมันไปจนทำให้ ชีวิตที่เรียบง่ายดูยุ่งเหยิงภาพประกอบโดย Angela_Yuriko_Smith จาก Pixabayเราเป็นคนธรรมดา ที่โหยหาการเป็นคนพิเศษต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า เราถูกหล่อหลอมให้เชื่อในเกรดมาตั้งแต่เด็กๆ การมีเกรดที่ดีทำให้คนคนนั้นพิเศษ ส่วนพวกที่เกรดห่วยก็จะบอกว่าตัวเองไม่ใช่คนพิเศษ แต่สิ่งที่ตามาร์คบอกนั้น กลับกัน คนที่เกรดดีเป็นคนพิเศษ ส่วนพวกที่เกรดห่วยมันก็คิดว่าตัวเองพิเศษเหมือนกัน คนทั้งสองกลุ่มจะมีข้ออ้างในการโหยหาความพิเศษในตัวเองจนทำให้ความสุขในชีวิตหายไปอยู่ตลอดเวลา ตรงนี้เป็นการตบหน้าฉาดใหญ่ใส่คนที่เก่งและคนที่ห่วยในเวลาเดียวกัน เพราะคนธรรมดาจริงๆ จะไม่มาจมอยู่กับสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานอย่าง เกรด กัน แต่เลือกที่จะยอมรับและหาทางออกต่อไปในชีวิตในแบบที่จะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนต่างหากหล่ะ สิ่งนี้เกิดขึ้นกับบรรทัดฐานอีกอย่าง อย่างคำว่า รวยและจนเช่นกัน เราไม่มีทางรู้หรอกว่าคนรวยจะพบเจอปัญหาอะไรบ้าง เช่นเดียวกับคนจน เราไม่รู้เรื่องอะไรในชีวิตของคนอื่นๆ เลยต่างหาก แต่กับตัวเราเองนั้น เรารู้ แต่เราเลือกที่จะนำมันไปเปรียบเทียบกับคนอื่นไง เราคิดว่าเราพิเศษกว่าคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แต่ทำไมชีวิตดีดีที่เกิดในโซเชียลเน็ตเวิร์คของคนอื่นมันดีกว่าเราจังเลย พอคิดเปรียบเทียบแบบนั้นขึ้น ความสุขของเราก็หดหายไปซะอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เราอาจมีบ้านธรรมดาเป็นของตัวเอง หรือมีครอบครัวธรรมดาที่อบอุ่นอย่างที่คนอื่นๆ อาจไม่มีอยู่ก็ได้สมองคิดอย่างไร คนรอบกายก็จะคิดแบบนั้นเคยไหม ที่มานั่งคิดว่าตัวเองหน้าตาไม่ดี อ้วนท้วนสมบูรณ์ ไม่ได้หุ่นดีแบบใครๆ เลยทำให้ไม่มีใครที่จะเข้ามาคบหาเป็นแฟนเหมือนคนอื่นๆ เวลาออกเดตเขาก็จะเริ่มพรรณนาว่าตัวเองนั้นไม่ดีอย่างไรบ้าง และสุดท้ายเดตก็จบลงด้วยการที่เขาหรือเธอไม่ได้เจอกันอีกเลย ตามาร์คบอกกับเราว่า บางทีความอ้วนไม่ได้ทำให้ใครๆ ไม่ชอบเราหรอก (แต่มันมียังมีผลต่อสุขภาพอยู่นะ) มันอาจเป็นเพราะความคิดของเราต่างหาก ความคิดที่ตัดสินคนอื่นนั่นเอง เราตัดสินไปแล้วว่า คนแบบไหนที่จะไม่ชอบหรือชอบเราโดยที่เรายังไม่เคยได้ทำความรู้จักด้วยซ้ำ การที่มัวแต่คิดแบบด้านเดียวนั่นแหละ ทำให้เราไม่ได้ในสิ่งที่ในใจลึกๆ หวังเอาไว้อยู่ ภาพประกอบโดย Mandy Fontana จาก Pixabayความผิดพลาดไม่ผิด ความรู้สึกผิดต่างหากที่ผิดเรามักตั้งคำถามกับการตัดสินใจของตัวเอง ตามาร์คบอกเอาไว้ว่า มันออกจะเป็นเรื่องปกติที่คนจะสงสัยในสิ่งที่ตัวเองได้เลือกลงไป แต่มันมีอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเสมือนตัวแทรกแซงนั่นก็คือ ความรู้สึกผิด เรามักจะรู้สึกผิดว่า ตัวเองทำผิดพลาดไป เมื่อสิ่งที่เลือกไม่ได้เป็นดั่งสิ่งที่หวังเอาไว้ แทนที่จะหาว่าเราพลาดตรงไหนถึงรู้สึกทุกข์ แต่ตามาร์คบอกกับเราชัดเจนว่า เราอาจผิดแต่เราไม่ควรที่จะรู้สึกผิด เพราะบางสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เป็นเรื่องปกติของชีวิตที่จะพบความผิดพลาด เขาไม่ได้บอกว่า ให้โทษทุกอย่างรอบตัว แต่ให้เรามุ่งไปที่การหาทางออกที่ทำให้ความรู้สึกแย่ๆ หายไปต่างหาก เพราะถ้ามัวแต่มาจมกับคำว่า ถ้าฉันเลือกที่จะไม่ทำแบบนี้… คุณก็จะไม่ได้เริ่มแก้ไขมันสักทีเหล่านี้เป็นบางส่วนที่ผมได้รับมาจากหนังสือเล่มนี้ จริงๆ แล้วมันมีเรื่องราวสนุกๆ มากมายในหนังสือเล่มนี้ ตามาร์คมีวิธีการเล่าเรื่องเหล่านี้และนำมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เขาจะบอกได้น่าสนใจมากๆ ถือเป็นหนังสืออ่านเพลินๆ ระหว่างที่คุณกำลังนั่งรถไฟฟ้าไปทำงานได้ดีอีกเล่มหนึ่งเลย เพราะผมได้ลองดูแล้ว ในหนึ่งบทของหนังสือ ผมมองเห็นอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตเปลี่ยนไป ความคิดของเราเป็นอำนาจที่ยิ่งใหญ่ต่อตัวเราอย่างแท้จริง คนเราจะสุขหรือทุกข์ ความคิดของเราเป็นตัวกำหนดทั้งนั้น จริงๆ มีหนังสืออีกเล่มหนึ่งของเขาที่เพิ่งออกวางจำหน่ายได้ไม่นาน หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า Everything is F*cked: A Book About Hope ซึ่งยังไม่มีแปลไทยแต่อย่างใด ด้วยความที่หนังสือจำพวกนี้น่าจะมีภาษาที่ชวนปวดหัว ผมเลยรอให้สำนักพิมพ์ใดๆ ได้ลิขสิทธิ์มาแปลจะดีกว่าครับ สำหรับใครที่สนใจในตัวนักเขียน สามารถเข้าไปติดตามความเคลื่อนไหวของหนังสือใหม่ๆ ของเขาได้ที่ทางเว็บไซต์ markmanson.net ได้เลยครับ ชื่อหนังสือ : ชีวิตติดปีก ด้วยศิลปะแห่งการช่างแม่งผู้เขียน : Mark Mansonผู้แปล : ยอดเถา ยอดยิ่งสำนักพิมพ์ : BINGOราคาปก : 220 บาทเครดิตภาพหนังสือทั้งหมดโดยนักเขียนภาพประกอบอื่นๆ ทั้งหมด จาก Pixabay.com เครดิตเจ้าของรูปถูกระบุไว้ใต้ภาพแล้ว