ในมุมมองของผู้เขียน และจากประสบการณ์การเป็นครูผู้สอนในระดับชั้นประถมศึกษา ผู้เขียนคิดว่า การเรียนรู้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ในการพัฒนาศักยภาพของบุคลากรในประเทศ โดยเฉพาะเยาวชนรุ่นใหม่แล้ว ถือได้ว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากที่ครอบครัว โรงเรียน สังคม และประเทศชาติ จะต้องให้ความสำคัญในการสนับสนุน ส่งเสริม เพื่อให้นักเรียน บรรยาเยาวชนคนรุ่นใหม่ เรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างมีคุณภาพ และคิดอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะหลายครอบครัว ที่ไม่ได้มีพื้นฐานทางด้านการสอน หรือการจัดกระบวนการเรียนรู้ ต่างให้ความสนใจแนวทางในกการส่งเสริมบุตรหลาน ให้เป็นคนมีทักษะการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ บทความนี้ ผู้เขียนจึงประมวลภาพรวมของการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์ในแต่ละรูปแบบมาแลกเปลี่ยนกับผู้อ่านครับการเรียนรู้แบบวิทยาศาสตร์นั้น มุ่งเน้นไปที่การศึกษาสิ่งต่าง ๆ ตามธรรมชาติผ่านการทำกิจกรรมที่หลากหลาย พร้อมกันนัน้ยังค้อวรู้จักการประมวลความรู้ เพื่อดข้าใจสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง ก่อนนำมาประมวล แล้วสังเคราะห์เป็นองค์ความรู้ใหม่ โดยผังมโนทัศน์นี้ แบ่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 รูปแบบ ประกอบด้วย 1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง 2. การเรียนรู้ผ่านกระบวนการกลุ่ม 3. การเรียนรู้ผ่านการดูแลของครูผู้สอน โดยมีรายละเอียดของแต่ละรูปแบบ ดังนี้1. การเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการเรียนรู้ผ่านความเข้าใจของตนเอง ศึกษาด้วยตนเอง ผ่านการอ่านหนังสือ การทำการบ้าน การค้นข้อมูล การสังเกตปรากฎการณ์ต่าง ๆ รอบตัว เช่น พื้นที่สวน พื้นที่ครับ รวมถึงประสบการณ์หารทำงานในส่วนต่าง ๆ โดยมีผู้ปกครองเป็นผู้ดูแล และช่วยเหลือทำให้ได้เรียนรู้เป็นอย่างดี ตัวอย่างกิจกรรมการสอน เช่น การสำรวจใบไม้โดยเทียบสีใบไม้อ่อน ใบไม้แก่ ในสวนสาธารณะ แล้วจำแนกประเภทของใบไม้2. การเรียนรู้ผ่านกระบวนการกลุ่ม ถือเป็นการเรียนรู้ที่สำคัญมาก ที่จะช่วยให้เด็กรู้จักการทำงานร่วมกันกับผู้อื่น เข้าใจระบบการทำงาน สามารถเรียนรู้ที่จะรับฟังมุมมองข้อเสนอแนะต่าง ๆ จากเพื่อนในกลุ่มได้ โดยอาจใช้กิจกรรมผ่านการเล่นบ้าง งานกลุ่ม การพูดคุยถกเถียงในประเด็นต่าง ๆ ตัวอย่างกิจกรรมการสอน เช่น การทำโครงงานแก้ปัญหายุงลายในชุมชน หรือโรงเรียน โดยให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มร่วมกันหาแนวทางในการแก้ปัญหา แล้วลองทำเป็นวิจัยเล็ก ๆ ในห้องเรียน3. การเรียนรู้ผ่านการดูแลของครูผู้สอน เป็นการเรียนรู้ที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแลควบคุม เพราะ หากดูแลไม่ดีอาจเกิดอุบัติเหตุได้ เช่น การสาธิต การปฏิบัติ การออกไปทัศนศึกษา และการแลกเปลี่ยนพูดคุยกันในห้องเรียน ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมศักยภาพของการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตัวอย่างกิจกรรมการสอน เช่น การทดลองปฏิกริยาทางเคมี โดยเฉพาะการดูดซึมของผัก โดยใช้สีผสมอาหารใส่ในผักกาด แล้วสังเกตว่าผักกาดเปลี่ยนสีหรือไม่ มีการดูดซึมของสีในผักกาดมากน้อยเพียงใดจากความเห็นของผู้เขียนเบื้องต้น ผู้เขียนสรุปได้ว่า การเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์นั้นมีวิธีการที่หลากหลาย พร้อมทั้งมีแนวทางในการปรับประยุกต์ใช้ตามบริบทอยู่มากมาย ครอบครัว ครูผู้สอน จำเป็นต้องหยิบเอารูปแบบการสอนมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพการคิดอย่างเป็นระบบกับผู้เรียนมากที่สุดเครดิตรูปภาพภาพหน้าปกโดย press 👍 and ⭐ จาก Pixabayภาพที่ 1 โดย DavidRockDesign จาก Pixabayภาพที่ 2 โดย Kidaha จาก Pixabayภาพที่ 3 โดย Harish Sharma จาก Pixabayภาพที่ 4 โดย _Alicja_ จาก Pixabayเปิดประสบการณ์ความบันเทิงที่หลากหลายสุดปัง บน App TrueID โหลดเลย ฟรี !