ผี วิญญาณ ยังคงเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่วิทยาศาสตร์หรือเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดๆไม่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน แต่ทั้งนี้ก็ยังคงมีการรายงานถึงบุคคลที่เคยพบเห็นหรือมีประสบการณ์เกี่ยวกับผีวิญญาณ ออกมาให้ได้ยินอยู่เรื่อยๆ ข้อสรุปเกี่ยวกับเรื่องเร้นลับนี้จึงยังเป็นที่ถกเถียงกันจนถึงปัจจุบันและนักวิทยาศาสตร์นักฟิสิกส์บางคน ก็ไม่ได้มองเรื่องนี้เป็นเรื่องไร้สาระแต่อย่างใดเลย และยังคงมีการพิสูจน์กันมาอย่างต่อเนื่องโดยนักวิทยาศาสตร์และนักฟิสิกส์บางคนมองว่า ผี และวิญญาณ รวมไปถึงสิ่งเร้นลับต่างๆที่มนุษย์มีประสบการณ์ปฏิสัมพันธ์ด้วยเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่ง และในวันนี้เราจะพาไปดูข้อสมมุติฐานที่นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าจะอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ได้ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปดูกันเลยรูปภาพ ดร.โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์https://images.app.goo.gl/ZUv52FSfBBE2mept7หนึ่งในทฤษฎีที่น่าสนใจที่สุด คือทฤษฎีที่ชื่อว่า ฟิสิกส์แห่งการหลอกหลอน ของ ดร.โดนัลด์ จี คาร์เพนเตอร์ ผู้ที่ได้รวบรวมรายงานจากทั่วโลก เกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ และใช้ตรรกะเหตุผลทางฟิสิกส์ในการพยายามอธิบาย ผี ในทางฟิสิกส์ว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ และชอบอยู่ในที่มืด เกิดเป็นข้อสมมติฐานและข้อสันนิษฐานมากมาย ดังต่อไปนี้1. กฎฟิสิกส์ ถือเป็นกฎสากลของธรรมชาติ ที่จะสามารถอธิบายปรากฏการณ์เกี่ยวกับผีได้ นั่นหมายความว่าผีจำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎฟิสิกส์2. จากข้อสันนิษฐานในข้อ 1 นั่นหมายความว่า ผีไม่ใช่เรื่องของมายากลปาฏิหาริย์ หรือ เรื่องเหนือธรรมชาติใดๆ3. ผี (Ghost) การหลอกหลอน (poltergeist) และ ดวงวิญญาณ (Soul) ล้วนเกิดขึ้นมาจากสาเหตุเดียวกัน แต่เป็นปรากฏการณ์ในรูปแบบต่างกัน 4. ผี นับเป็น สิ่งที่มีตัวตน มีคุณลักษณะคล้ายคลึงกันโดยทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นผีจากชาติใดๆ ก็ตาม 5. ในการปรากฏกายของผีโดยเฉลี่ยแล้วร่างของผีจะกินเนื้อที่เป็นปริมาณ ประมาณ 0.07 ลูกบาศก์เมตร เฉลี่ยเป็นปริมาตรเท่ากับคนธรรมดาที่มีน้ำหนักตัวประมาณ 70 กิโลกรัมขอบคุณรูปภาพ https://pixabay.com/images/search/ghost/สมมติฐานในการเห็นผีของ ดร.คาเพนเตอร์ ได้ตั้งไว้เป็น Standard Night time Ghost (SNG) แยกไว้ 2 กรณี คือกรณีแรกอาจเกิดขึ้นโดยตรงกับสมอง ของผู้ที่อ้างว่าพบเจอกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาตินี้ จากการรบกวนการทำงานของไฟฟ้าชีวะเคมีในสมอง ทำให้ประสาทและระบบการรับรู้อาจผิดเพี้ยนไป โดยเฉพาะในส่วนของมันสมองและไขสันหลัง ที่เราเรียกว่าประสาทหลอนนั่นเอง หรือไม่ก็อาจจะเกิดจาก สิ่งเร้าภายนอก กระตุ้นให้สมองเกิดภาพหลอนขึ้นมาเอง สิ่งเร้านั้น อาจเป็นคลื่นประจุไฟฟ้า ที่ส่งตรงไปยัง สมองที่ทำงานเกี่ยวกับส่วนนี้โดยตรง หรืออาจเป็นเพราะสภาวะแวดล้อม ที่ส่งผลกระทบต่อจิตใจ หรืออารมณ์และความรู้สึก เราเรียกกรณีแรกนี้ได้ว่า อาการประสาทหลอน หรือภาวะที่ถูกควบคุมจิตใจกรณีแรกนี้จึงสรุปได้เลยว่าผีไม่ได้มีอยู่จริงแต่มีอยู่ในสมองของมนุษย์ในส่วนที่ทำงานเกี่ยวกับประสบการณ์และความรู้สึกกรณีที่ 2 คือสมมติฐานที่ตรงกันข้ามกับกรณีแรก คือ ผีเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดตามธรรมชาติจริงๆ ไม่ได้เกิดขึ้นจากสภาวะจิตหรืออาการประสาทหลอนข้อมูลที่จะสนับสนุนสมมติฐานที่ 2 นี้คือในบางกรณีที่ผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับผีอ้างว่าเห็นผีพร้อมๆกันจากมุมที่แตกต่าง จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่าผีสามารถเปล่งโฟตอนหรือแสง ออกมาได้ ไม่ใช่ภาพหลอนที่เกิดจากสภาวะจิตของผู้พบเจอข้อมูลจากทั่วโลก ที่ ด.ร.คาร์เพนเตอร์ ได้รวบรวมไว้เกี่ยวกับผู้ที่มีประสบการณ์กับผี แสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า การพบเจอผีนั้นมีรูปแบบที่เฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เกิดแบบไร้แบบแผน โดย ด.ร.คาเพนเตอร์ ได้บอกขั้นตอนในการเจอผี ไว้ 7 ข้อดังนี้ 1. ผี ต้องปรากฎตัวในเวลากลางคืนเท่านั้น การปรากฎตัวแต่ละครั้งกินเวลายาวนานประมาณ 2 วินาทีถึง 10 นาที เสร็จแล้ว ต้องหายตัวไป แล้วจึงปรากฏกายขึ้นใหม่ได้อีก 2. ผี สามารถเปล่งแสงสว่าง เรืองแสงในตัวเองได้ โดยต้องมีกำลังส่องสว่าง อยู่ในช่วงความเข้มแสงประมาณ 1-20 แรงเทียน จึงจะทำให้สายตามนุษย์สามารถมองเห็นได้ 3. การปรากฏตัวของ ผี จะทำให้บรรยากาศโดยรอบมีอุณหภูมิลดลงอย่างเฉียบพลัน เนื่องจาก ผี ต้องดึงเอาพลังงานความร้อน ในบรรยากาศอย่างน้อย 60 จูลส์ เข้าไปสะสมทำให้ตัวเองเปล่งแสงออกมาได้ 4. การปรากฏกายของ ผี ต้องมีเครื่องนุ่งห่มด้วย และมักปรากฏในลักษณะเป็นภาพรางๆ โปร่งแสงมองทะลุได้บ้าง มีขนาดเล็กกว่าคน ธรรมดาทั่วไป 5. ผี จะปรากฏในสภาพที่หันหน้าเข้าหาผู้พบเห็นเสมอ 6. ผี มักปรากฏตัวในร่างเหมือนมนุษย์ (ประมาณ 90% ของรายงาน) มีน้อยมากที่ปรากฏตัวในร่างสัตว์7. มักจะมีเสียงหรือกลิ่นเกิดขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของ ผี ในแต่ละครั้งขอบคุณรูปภาพ https://pixabay.com/images/search/ghost/ทั้งนี้ข้อสันนิษฐานของ ด.ร.คาร์เพนเตอร์ 7 ข้อนี้ ยังมีการออกมาคัดค้าน ของผู้ที่ไม่เห็นด้วยอยู่เรื่อยๆ เช่น "ผี" ใช้พลังอะไรกระตุ้นอิเล็กตรอนของบรรยากาศ จนทำให้เกิดการคายโฟตอน หรือแสง ออกมา ซึ่งผีสามารถสร้างพลังงานในตัวเอง หรือมีวิธีนำพลังงานจากแหล่งอื่นมาใช้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครที่ศึกษาเรื่องผีนี้อย่างจริงจังนัก อาจเป็นเพราะ เครื่องมือและอุปกรณ์ในการพิสูจน์ยังไม่ก้าวหน้าพอ ทำให้ คนที่เคยมีประสบการณ์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็จะเชื่ออย่างสนิทใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ส่วนคนที่ไม่เชื่อ นั่นก็เพราะว่าไม่เคยประสบพบเจอและเห็นว่าเป็นเรื่องไร้สาระ หรืออธิบายทางวิทยาศาสตร์แบบกว้างๆว่าเป็นสสารหรือพลังงานบางอย่าง ในวันนี้ผมจึงมีข้อคิดสั้นๆที่นักฟิสิกส์เคยให้ไว้กับเราเกี่ยวกับเรื่องที่วิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้นั่นก็คือการไม่มีหลักฐานไม่มีหลักฐาน ไม่ใช่หลักฐานของการไม่มีแหล่งข้อมูล : https://www.matichon.co.th/social/news_1203074