รายการโทรทัศน์ประเภทบันเทิงยอดนิยมคงหนีไม่พ้น “ละครไทย” โดยละครโทรทัศน์ไทยเรื่องแรกคือเรื่อง สุริยานีไม่ยอมแต่งงาน ออกอากาศทางช่อง 4 บางขุนพรหม ทั้งนี้ละครไทยมักประกอบไปด้วยตัวละครฝ่ายดี ฝ่ายเลว และสามารถเดาตอนจบของเรื่องได้ง่าย โดยมักจะจบลงแบบสุขนฏกรรม และมีการทำซ้ำกันบ่อยครั้ง“ละคร” เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน เรียกได้ว่าเป็นสื่อบันเทิงที่ได้รับความนิยมสูงสุด ยิ่งไปกว่านั้นจากผลสำรวจพบว่า 78% ของเยาวชนไทยมีพฤติกรรมเลียนแบบละคร ทำให้ต้องมองย้อนกลับมาว่า ละครกำลังสอนคนหรือกำลังสะท้อนอะไรบางอย่างจากสังคมกันแน่?ถ้ามองย้อนกลับไปช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา วงการละครอุดมไปด้วยเรื่องที่เป็นน้ำเน่า วนเวียน ซ้ำซาก จำเจ ไม่ไปไหน มีสูตรสำเร็จตายตัว เดาจุดจบได้ จึงไม่แปลกที่ละครบางช่วงก็น้ำเน่า บทความนี้ ปรภ จะพามาหาคำตอบกันว่า ละครไทย ทำไมถึงต้องน้ำเน่า?จากนิยาย สู่ละครน้ำเน่าในภาษาของละครได้จำแนกละครน้ำเน่าเอาไว้ว่าเป็น “Melodrama” หรือที่เรียกว่า “เรื่องประโลมโลก” และหากมองย้อนไปในลักษณะวรรณกรรมหรือนิยายที่มีหลายช่วงเวลาในอดีต มันก็อุดมไปด้วยเนื้อหาที่น้ำเน่า เพราะฉะนั้นถ้ามองอย่างให้ความเป็นธรรมกับศิลปะการละคร มันก็คือความจริงที่เกิดขึ้นว่าสังคมในอดีตนั้น “เสพน้ำเน่า” เป็นความบันเทิง จึงไม่แปลกที่นิยายบางช่วงเต็มไปด้วยเรื่องที่เราเรียกว่า “น้ำเน่า”ยุ่น ยิ่งยศ ปัญญา นักเขียนบทละครไทยได้อธิบายคำว่าละครน้ำเน่าเอาไว้ว่า “ ...คำว่าน้ำเน่าเป็นคำแสลงใจ เหมือนเป็นคำด่า ‘อีน้ำเน่า’ เหมือนถูกสร้างมาเพื่อทำให้เจ็บแสบ ทั้งเจ็บทั้งคัน เต็มไปด้วยความรู้สึกที่เป็นอคติ และเมื่อคำนี้ถูกนำมาใช้กับละคร ซึ่งความจริงเราก็ติดปากนึกจะใช้สิ่งนี้ว่า ชีวิตของใครสักคนน้ำเน่า เป็นต้น ผมอยากจะชวนให้คิดว่าหากเปรียบเทียบชิ้นงานสักชิ้นในลักษณะของน้ำเน่ามันยุติธรรมไหม?... ”ศิลปะสะท้อนสังคมจากประสบการณ์ในวงการนักเขียนบทละคร ยุ่น ได้ให้ความเห็นต่อละครในยุคนี้ว่า “ ...เมื่อพูดถึงละครในยุคนี้ ผู้ผลิตมักจะตีความเอาเองว่า ‘คนดูชอบเสพสิ่งเหล่านี้’ ‘นี่คือสิ่งที่คนดูต้องการ’ และ ‘เราต้องทำให้คนดูพอใจ’ มันจึงเกิดละครที่มีเนื้อเรื่องน้ำเน่า ซ้ำแล้วซ้ำเล่า วนเวียน มีการผลิตละครเก่า รีเมค ทำซ้ำขึ้นมาโดยเปลี่ยนตัวละครเอกให้เข้ากับยุคสมัย แต่ยังคงความเป็นละครน้ำเน่าดั้งเดิมเอาไว้ เพียงเพราะผู้ผลิตเชื่อว่าละครน้ำเน่าจะขายได้… ”คำว่า “ศิลปะสะท้อนสังคม” หมายถึง การมองภาพรวมของสังคมว่าเป็นอย่างไร งานศิลปะที่แม้จะเป็นศิลปะเชิงพาณิชย์อย่างละครทีวีก็ออกมาเป็นเช่นนั้น ชั้นเชิงของการใช้คำว่า “ละครน้ำเน่า” ของบริบทการเสียดสีประชดประชันใส่จึงไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทำไมละครน้ำเน่าบางเรื่องถึงประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมสูงกว่าละครน้ำดีหลายๆ เรื่องการที่ละครน้ำเน่าเป็นที่นิยมกว่าละครขายดีทำให้ต้องกลับมาพิจารณาถึงองค์ประกอบต่างๆ เช่น ละครน้ำเน่าเรื่องนั้นออกมาในจังหวะที่เหมาะสมหรือไม่? นักแสดงเล่นดีถึงความเป็นน้ำเน่าหรือไม่? องค์ประกอบรวมๆ ในการที่จะออกมาเป็นละครมีความครบเครื่องสมบูรณ์แบบหรือไม่? ละครน้ำเน่าจึงอยู่ในทุกสังคม ไม่ใช่เฉพาะในประเทศไทย จั๊กจั่น อคัมย์สิริ สุวรรณศุข ในฐานะนักแสดงอธิบายว่า “...ละครไทยแตกต่างจากละครต่างประเทศ เพราะผู้เขียนบทมักจะแคร์ความรู้สึกของผู้ชม โดยเฉพาะการอยู่ในกรอบของวัฒนธรรม ขนมธรรมเนียมประเพณี และจะไม่เขียนบทละครที่เป็นเรื่องขัดแย้งกับความเชื่อของคนไทย โดยส่วนตัวมองว่า ละครจะสนุกจะต้องมีบทละครที่ดี ซึ่งจะทำให้นักแสดงสนุกไปด้วย และเมื่อทุกอย่างดีคนดูก็จะชื่นชอบและติดตามเพราะลุ้นไปกับแต่ละเนื้อหาที่นำเสนอ... ”ยุ่น เล่าต่อว่า “...ละครมีอิทธิพลต่อสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะละครไทยเป็นสื่อฟรีที่ทำให้เกิดการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเนื้อหาที่ทำให้ผู้ผลิตละครมุ่งผลิตให้น่าสนใจมากที่สุด เพราะละครแต่ละเรื่องมีคุณค่าที่กระทบใจคนดูแตกต่างกันไป การสอนคนดูด้วยการไม่ยัดเยียดผ่านการดำเนินเนื้อเรื่องให้คนดูคิดตามและตั้งคำถามระหว่างตัวเองกับสังคม ซึ่งบทบาทหน้าที่ของละครไทยคือการทำให้คนดูเกิดวุฒิปัญญาที่เกิดจากการตั้งคำถาม ค้นหาความหมายของชีวิต...” เราควรจะเปิดใจรับความน้ำเน่าแบบแฟร์ ๆ อย่างเข้าใจสังคม เพราะว่า มันเป็นผลของการตีกลับไปกลับมา ‘ละครเป็นอย่างไร สังคมก็เป็นเช่นนั้น-สังคมเป็นอย่างไร ละครก็เป็นเช่นนั้น’ ไม่ใช่ว่าละครน้ำเน่าจะเป็นสื่อที่สังคมต่อต้าน...อย่างน้อยที่สุดละครน้ำเน่าเรื่องนั้นในสายตาผู้ชมไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ มันก็มอบความเพลิดเพลินให้กับผู้ชมได้บ้าง ไม่มากก็น้อย...ประโยชน์ของละครน้ำเน่า“ ...ละครไทยมีความสนุก แฝงไปด้วยศิลปะแขนงต่างๆ รวมไปถึงมีความดีงามสอดแทรกเข้าไป... ” อาจารย์แดง ศัลยา สุขะนิวัตติ์ นายกสมาคมนักเขียนบทละครโทรทัศน์ ผู้เขียนบทละครบุพเพสันนิวาสอธิบายในมุมของของตัวเองเกี่ยวกับละครน้ำเน่าว่า “ ...ในละครบางเรื่องสามารถเห็นได้ชัดเจนว่ามีแต่ฉากที่รุนแรง โหดร้ายเกินมนุษย์ แต่ไม่ได้มอบประโยชน์อะไรให้กับสังคม ซึ่งแท้จริงแล้วละครไทยควรจะสอนคนดู และควรตัดวงจรความเป็นละครน้ำเน่าออก... ” “...ละครโทรทัศน์เป็นพาณิชย์ศิลป์ ซึ่งศิลปะที่อยู่ในละครไทยมีความดี ความงาม มีความสุนทรีมีความคิดที่ดีใส่เข้าไปในละคร นอกเหนือไปจากการขายของจากผู้สนับสนุน ถึงแม้ว่าเรื่องการขายของจะไม่เกี่ยวกับผู้เขียนบทแต่กลับถูกทำให้เกิดการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ อย่างไรก็ตาม ละครไทยเรื่อง ‘กรงกรรม’ เรียกได้ว่าอยู่ในกระแสและสามารถผนวกความเป็นพาณิชย์และศิลปะเข้ากันได้อย่างกลมกลืน...” อาจารย์แดงกล่าวศิลปะการละครถือเป็นศิลปะอันดับหนึ่งที่มนุษย์มี เพราะเป็นการนำศิลปะทุกแขนง ทุกภาคส่วนมาร่วมกันประมวลออกมาเป็นละคร ในฐานะของนักเขียนบทละครไทย ยุ่นบอกเล่าประโยชน์ของละครไทยว่า “...นอกจากหน้าที่การให้ความบันเทิง ดูแล้วมีความสุข ละครยังมีอิทธิพลต่อสังคมที่เปลี่ยนไป เพราะละครเป็นสื่อฟรีที่ทำให้เกิดการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านเนื้อหาที่ทำให้ผู้ผลิตละครมุ่งผลิตให้น่าสนใจมากที่สุด...”ละครไทยแต่ละเรื่องมีคุณค่าที่กระทบใจคนดูแตกต่างกันไป การสอนคนดูด้วยการไม่ยัดเยียดผ่านการดำเนินเนื้อเรื่องให้คนดูคิดตามและตั้งคำถามระหว่างตัวเองกับสังคม ซึ่งบทบาทหน้าที่ของละครคือ การทำให้คนดูเกิดวุฒิปัญญาที่เกิดจากการตั้งคำถาม ค้นหาความหมายของชีวิต เป็นต้นละครที่เราเรียกว่า “ละครน้ำเน่า” คนก็ดู แต่ถ้าเราแทรกความรู้ ความดีงามสอดเข้าไปให้กลมกลืนกับความน้ำเน่า ทำให้เห็นว่าการกระทำไม่ดีจะส่งผลเช่นไร แล้วหากทำดีจะเป็นเช่นไร การผลิตละครไทยให้ดีต้องเริ่มจากบทละครที่สร้างสรรค์และสามารถสะท้อนข้อคิดให้กับผู้ชม รวมไปถึงการดำเนินเรื่องราวผ่านตัวละครอย่างน่าสนใจ และที่สำคัญละครเรื่องนั้นจะต้องบรรลุเป้าหมายอันดับหนึ่งคือ ความสนุกและความบันเทิง จึงจะเกิดเป็นละครที่สร้างสรรค์ให้กับคนดูสรุปละครไทย แม้จะเป็นละครน้ำเน่า แต่สุดท้ายก็ยังมีคนดูจำนวนมาก การพัฒนาบทละครไทยให้ความน้ำเน่าแฝงไปด้วยความรู้ แทรกความดีงามสอดเข้าไปให้กลมกลืนกับความน้ำเน่า เพราะน้ำเน่าคือน้ำนิ่ง เราเอาเหตุผลใส่ไป เอาผลกระทบใส่ไป ก็เปรียบเสมือนการสอนคน ถือเป็นการช่วยสร้างสังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป ติดตามผลงานจาก ปรภ ไม่ใช่ รปภ ได้ที่Porraphat.comblockdit TrueID